ความรู้เรื่องพระไตรปิฎก

พระไตรปิฎกคืออะไร?

ศาสนาทุกศาสนา ย่อมมีคัมภีร์หรือตำราทางศาสนาเป็นหลักในการสั่งสอน แม้เดิมจะมิได้ขีดเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เมื่อมนุษย์รู้จักใช้ตัวหนังสือ ก็ได้มีการเขียน การจารึกคำสอนในศาสนานั้นๆ ไว้ เมื่อโลกเจริญขึ้นถึงกับมีการพิมพ์หนังสือเป็นเล่มๆ ได้ คัมภีร์ศาสนาเหล่านั้นก็มีผู้พิมพ์เป็นเล่มขึ้นโดยลำดับ

พระไตรปิฎก หรือที่เรียกในภาษาบาลีว่า ติปิฎกหรือเตปิฎกนั้น เป็นคัมภีร์หรือตำราทางพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับไตรเวทเป็นคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์อัลกุรอาน ของศาสนาอิสลาม

กล่าวโดยรูปศัพท์ คำว่า พระไตรปิฎก แปลว่า 3 คัมภีร์ เมื่อแยกเป็นคำๆ ว่า พระ+ไตร+ปิฎก คำว่า พระ เป็นคำแสดงความเคารพหรือยกย่อง คำว่า ไตร แปลว่า 3 คำว่า ปิฎก แปลได้ 2 อย่าง คือแปลว่าคัมภีร์หรือตำราอย่างหนึ่ง แปลว่า กระจาดหรือตะกร้าอย่างหนึ่ง ที่แปลว่ากระจาดหรือตะกร้า หมายความว่าเป็นที่รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหมวดหมู่ ไม่ให้กระจัดกระจาย คล้ายกระจาดหรือตะกร้าอันเป็นภาชนะใส่ของฉะนั้น

พระไตรปิฎกแบ่งออกเป็นอะไรบ้าง ?

เมื่อทราบแล้วว่า คำว่า พระไตรปิฎก แปลว่า 3 คัมภีร์ หรือ 3 ปิฎก จึงควรทราบต่อไปว่า 3 ปิฎกนั้นมีอะไรบ้าง และแต่ละปิฎกนั้น มีความหมายหรือใจความอย่างไร

ปิฎก 3 นั้นแบ่งออกดังนี้

  1. วินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี
  2. สุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่วๆ ไป
  3. อภิธรรมปิฎก ว่าด้วยธรรมะล้วนๆ หรือธรรมะที่สำคัญ

เพื่อความเข้าใจชัด ได้ทำเป็นแผนที่พิมพ์กำกับไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้ว ให้เห็นส่วนต่างๆ และความหมายของส่วนนั้นๆ ในพระไตรปิฎกโดยชัดเจน

ในที่นี้จะยังไม่กล่าวถึงรายการละเอียดว่า วินัยปิฎก สุตตันปิฎก และอภิธรรมปิฎก แบ่งส่วนออกไปเป็นอะไรอีก เพราะต้องการให้ท่านผู้อ่านได้ทราบข้อความอื่นๆ เกี่ยวกับพระไตรปิฎก เช่น ประวัติความเป็นมา เป็นต้น แล้วจึงจะกล่าวถึงส่วนต่างๆ ของแต่ละปิฎกในภายหลัง

ความเป็นมาของพระไตรปิฎก

การกล่าวถึงความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก จำเป็นต้องกล่าวถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ยังมิได้จดจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งหลักฐานเรื่องการท่องจำ และข้อความที่กระจัดกระจ่ายยังมิได้จัดเป็นหมวดหมู่ จนถึงมีการสังคายนา คือจัดระเบียบหมวดหมู่ การจารึกเป็นตัวหนังสือและการพิมพ์เป็นเล่ม

ในเบื้องแรกเห็นควรกล่าวถึงพระสาวก 4 รูป ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก คือ

  1. พระอานนท์ ผู้เป็นพระอนุชา (ลูกผู้พี่ผู้น้อง) และเป็นผู้อุปฐากรับใช้ใกล้ชิดของพระพุทธเจ้าในฐานะที่ทรงจำพระพุทธวจนะไว้ได้มาก
  2. พระอุบาลี ผู้เชี่ยวชาญทางวินัย ในฐานะที่ทรงจำวินัยปิฎก
  3. พระโสณกุฏิกัณณะ ผู้เคยท่องจำบางส่วนแห่งพระสุตตันตปิฎก และกล่าวข้อความนั้นปากเปล่าในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ได้รับสรรเสริญว่าทรงจำได้ดีมาก ทั้งสำเนียงที่กล่าวข้อความออกมาก็ชัดเจนแจ่มใส เป็นตัวอย่างแห่งการท่องจำในสมัยที่ยังไม่มีการจารึกพระไตรปิฎกเป็นตัวหนังสือ
  4. พระมหากัสสปะ ในฐานะเป็นผู้ริเริ่มให้มีการสังคายนา จัดระเบียบพระพุทธวจนะให้เป็นหมวดหมู่ ในข้อนี้ย่อมเกี่ยวโยงไปถึงพระพุทธเจ้า พระสาริบุตร และพระจุนทะ น้องชายพระสาริบุตร ซึ่งเคยเสนอให้เห็นความสำคัญของการทำสังคายนา คือจัดระเบียบคำสอนให้เป็นหมวดหมู่ดังจะกล่าวต่อไป

พระอานนท์เกี่ยวกับพระไตรปิฎกอย่างไร ?

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จออกบรรพชา และได้ตรัสรู้แล้วแสดงธรรมโปรดเจ้าลัทธิกับทั้งพระราชาและมหาชนในแว่นแคว้นต่างๆ ในปลายปีแรกที่ตรัสรู้นั้นเอง พระพุทธบิดาก็ทรงส่งทูตไปเชิญเสด็จพระศาสดาให้ไปแสดงธรรมโปรด ณ กรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปถึงกรุงกบิลพัสดุ์แสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดาและพระประยูรญาติแล้ว พระประยูรญาติต่างพากันเลื่อมใสให้โอรสของตนออกบวชในสำนักของพระพุทธเจ้าเป็นอันมาก

พระอานนท์เป็นโอรสของเจ้าชายสุกโกทนศากยะ ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดา เมื่อนับโดยเชื้อสายจึงนับเป็นพระอนุชาหรือลูกผู้น้องของพระพุทธเจ้า ท่านออกบวชพร้อมกับราชกุมารอื่นๆ อีก คือ 1.อนุรุทธะ 2. ภัคคุ 3. กิมพิละ 4. ภัททิยะ รวมเป็น 5 ท่านในฝ่ายศากยวงศ์ เมื่อรวมกับเทวทัตซึ่งเป็นราชกุมารในโกลิยวงศ์ 1 กับอุบาลี ซึ่งเป็นพนักงานภูษามาลา มีหน้าที่เป็นช่างกัลบกอีก 1 จึงรวมเป็น 7 ท่านด้วยกัน ใน 7 ท่านนี้เมื่อออกบวชแล้วก็มีชื่อเสียงมากอยู่ 4 ท่าน คือพระอานนท์ เป็นพุทธอุปฐาก ทรงจำพระพุทธวจนะได้มาก พระอนุรุทธ์ ชำนาญในทิพยจักษุ พระอุบาลี ทรงจำและชำนิชำนาญในทางพระวินัย กับพระเทวทัต มีชื่อเสียงในทางก่อเรื่องยุ่งยากในสังฆมณฑล จะขอปกครองคณะสงฆ์แทนพระพุทธเจ้า

กล่าวเฉพาะพระอานนท์ เป็นผู้ที่สงฆ์เลือกให้ทำหน้าที่เป็นพุทธอุปฐาก คือ ผู้รับใช้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะรับหน้าที่นี้ ท่านได้ขอพรหรือนัยหนึ่งเงื่อนไข 8 ประการ จากพระพุทธเจ้า เป็นเงื่อนไขฝ่ายปฏิเสธ 4 ข้อ เงื่อนไขฝ่ายขอร้อง 4 ข้อ คือ

เงื่อนไขฝ่ายปฏิเสธ

  1. ถ้าพระผู้มีพระภาคจักไม่ประทานจีวรอันประณีตที่ได้แล้วแก่ข้าพระองค์
  2. ถ้าพระผู้มีพระภาคจักไม่ประทานบิณฑบาต (คืออาหาร) อันประณีตที่ได้แล้วแก่ข้าพระองค์
  3. ถ้าพระผู้มีพระภาคจักไม่โปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระองค์
  4. ถ้าพระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงพาข้าพระองค์ไปในที่นิมนต์

เงื่อนไขฝ่ายขอร้อง

  1. ถ้าพระองค์จักเสด็จไปสู่ที่นิมนต์ ที่ข้าพระองค์รับไว้
  2. ถ้าข้าพระองค์จักนำบริษัทซึ่งมาเฝ้าพระองค์แต่ที่ไกล ให้เข้าเฝ้าได้ในขณะที่มาแล้ว
  3. ถ้าความสงสัยของข้าพระองค์เกิดขึ้นเมื่อใด ขอให้ได้เข้าเฝ้าทูลถามเมื่อนั้น และ
  4. ถ้าพระองค์ทรงแสดงข้อความอันใดในที่ลับหลังช้าพระองค์ ครั้นเสด็จมาแล้วจักตรัสบอกข้อความอันนั้นแก่ข้าพระองค์

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า ที่ขอเงื่อนไขฝ่ายปฏิเสธนั้นเพื่ออะไร พระอานนท์กราบทูลว่า เพื่อป้องกันผู้กล่าวหาว่าท่านอุปฐากพระพุทธเจ้าเพราะเห็นแก่ลาภสักการะ ส่วนเงื่อนไขฝ่ายขอร้อง 4 ข้อนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าตรัส ท่านก็กราบทูลว่า 3 ข้อต้น เพื่อป้องกันผู้กล่าวหาว่า พระอานนท์จะอุปฐากพระพุทธเจ้าทำไมในเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุเคราะห์แม้ด้วยเรื่องเพียงเท่านี้ ส่วนเงื่อนไขข้อสุดท้ายก็เพื่อว่าถ้ามีใครถามท่านในที่ลับหลังพระพุทธเจ้าว่า คาถานี้ สูตรนี้ ชาดกนี้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงในที่ไหน ถ้าพระอานนท์ตอบไม่ได้ ก็จะมีผู้กล่าวว่า พระอานนท์ตามเสด็จพระศาสดาไปดุจเงาตามตัว แม้เรื่องเพียงเท่านี้ก็ไม่รู้ เมื่อพระอานนท์กราบทูลชี้แจงดังนั้นแล้วพระศาสดาก็ทรงตกลงประทานพรหรือเงื่อนไขทั้งแปดข้อ

เฉพาะพรข้อที่ 8 เป็นอุปการะแก่การที่จะรวบรวมพระพุทธวจนะเป็นหมวดหมู่อย่างยิ่ง เพราะเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระอานนท์ได้รับหน้าที่ตอบคำถามเกี่ยวกับพระธรรม (พระอุบาลี วินัย) เพื่อจัดระเบียบคำสอนให้เป็นหมวดหมู่ในคราวสังคายนาครั้งที่ 1 ซึ่งกระทำภายหลังพุทธปรินิพพาน 3 เดือน

ในสมัยที่วิชาหนังสือยังไม่เจริญพอที่จะใช้บันทึกเรื่องราวได้ดั่งในปัจจุบัน อันเป็นสมัยที่ไม่มีการจด มนุษย์ก็ต้องอาศัยความจำเป็นเครื่องมือสำคัญในการบันทึกเรื่องราวนั้นๆ ไว้แล้วบอกเล่าต่อๆ กันมา การทรงจำและบอกกันด้วยปากต่อๆ กันมานี้ เรียกในภาษาบาลีว่า มุขปาฐะ พระอานนท์เป็นผู้ได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาว่ามีความทรงจำดี สดับตรับฟังมาก นับว่าท่านได้มีส่วนสำคัญในการรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วจัดเป็นหมวดหมู่ต่างๆ สืบมาจนทุกวันนี้

พระอุบาลีเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎกอย่าง ?

เรื่องของพระอุบาลี ผู้เคยเป็นพนักงานภูษามาลาอยู่ในราชสำนักแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ท่านออกบวชพร้อมกับพระอานนท์และราชกุมารอื่นๆ ดั่งกล่าวแล้วข้างต้น และในฐานะที่ท่านเป็นคนรับใช้มาเดิมก็ควรจะเป็นผู้บวชคนสุดท้าย แต่เจ้าชายเหล่านั้นตกลงกันว่าควรให้อุบาลีบวชก่อน ตนจะได้กราบไหว้พระอุบาลีตามพรรษาอายุ เป็นการแก้ทิฏฐิมานะตั้งแต่เริ่มแรกในการออกบวช แต่ท่านก็มีความสามารถสมกับเกียรติที่ได้รับจากราชกุมารเหล่านั้น คือเมื่อบวชแล้วท่านมีความสนใจกำหนดจดจำทางพระวินัยเป็นพิเศษ มีเรื่องเล่าในพระวินัยปิฎก (เล่มที่ 7 หน้า 129) ว่าพระพุทธเจ้าแสดงเรื่องวินัยแก่ภิกษุทั้งหลายแล้วทรงสรรเสริญวินัย กับสรรเสริญท่านพระอุบาลีเป็นอันมาก ภิกษุทั้งหลายจึงพากันไปเรียนวินัยจากพระอุบาลีนอกจากนั้น ในวินัยปิฎก (เล่มที่ 8 หน้า 443) มีพระพุทธสุภาษิตโต้ตอบกับพระอุบาลีในข้อปัญหาทางพระวินัยมากมาย เป็นเฉลยข้อถามของพระเถระ เรียกชื่อหมวดนี้ว่า อุปาลิปัญจกะ มีหัวข้อสำคัญถึง 14 เรื่อง ในการทำสังคายนาครั้งที่ 1 ท่านพระอุบาลีได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับวินัยปิฎกจึงนับว่าท่านเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการช่วยรวบรวมข้อพระวินัยต่างๆ ทั้งของภิกษุและภิกษุณีให้เป็นหมวดหมู่หลักฐานมาจนทุกวันนี้

พระโสณกุฏิกัณณะเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎกอย่างไร ?

ความจริงท่านผู้นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระไตรปิฎก แต่ประวัติของท่านมีส่วนเป็นหลักฐานในการท่องจำพระไตรปิฎก อันช่วยให้เกิดความเข้าใจดีในเรื่องความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก จึงได้นำเรื่องของท่านมากล่าวไว้ในที่นี้ด้วย เรื่องของท่านผู้นี้ปรากฏในพระสุตตันปิฎกเล่ม 25 หน้า 160 อุทาน มีใจความว่า เดิมท่านเป็นอุบาสก เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดของพระมหากัจจานเถระ พำนักอยู่ใกล้ภูเขาอันทอดเชื่อมเข้าไปในนครชื่อ กุรุรฆระ ในแคว้นอวันตี ท่านเลื่อมใสในพระกัจจานเถระและเลื่อมใสที่จะบรรพชาอุปสมบท พระเถระกล่าวว่าเป็นการยากที่จะประพฤติพรหมจรรย์ ท่านจึงแนะนำให้เป็นคฤหัสถ์ ประพฤติตนแบบอนาคาริกะ คือผู้ไม่ครองเรือนไปก่อน แต่อุบาสกโสณกุฏิกัณณะรบเร้าบ่อยๆ ท่านจึงบรรพชาให้ ต่อมาอีก 3 ปี จึงรวบรวมพระได้ครบ 10 รูป จัดการอุปสมบทให้ หมายความว่าพระโสณะต้องบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ 3 ปี จึงได้อุปสมบทเป็นภิกษุ

ต่อมาท่านลาพระมหากัจจานเถระเดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ เชตวนาราม กรุงสาวัตถี เมื่อไปถึงและพระพุทธเจ้าตรัสถาม ทราบความว่า เดินทางไกลมาจากอวันตีทักขิณาบถ คืออินเดียภาคใต้ จึงตรัสสั่งพระอานนท์ให้จัดที่พักให้ พระอานนท์พิจารณาว่า พระองค์คงปรารถนาจะสอบถามอะไรกับภิกษุรูปนี้เป็นแน่แท้ จึงจัดที่พักให้ในวิหารเดียวกันกับพระพุทธเจ้า

ในคืนนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งอยู่กลางแจ้งจนดึกจึงเสด็จเข้าสู่วิหาร แม้พระโสณกุฏิกัณณะก็นั่งอยู่กลางแจ้งจนดึกจึงเข้าสู่วิหาร ครั้นเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าจึงตรัสเชิญให้พระโสณะ กล่าวธรรม ซึ่งท่านได้กล่าวสูตรถึง 16 สูตร อันปรากฏให้อัฏฐกวัคค์ (สัตตันตปิฎก เล่มที่ 25) จนจบ เมื่อจบแล้วพระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนาสรรเสริญความทรงจำ และท่วงทำนองในการกล่าว ว่าไพเราะสละสลวย แล้วตรัสถามเรื่องส่วนตัวอย่างอื่นอีก เช่นว่ามีพรรษาเท่าไร ออกบวชด้วยมีเหตุผลอย่างไร

เรื่องนี้เป็นตัวอย่างอันดีในเรื่องความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก ว่าได้มีการท่องจำกันตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ใครสามารถหรือพอใจจะท่องจำส่วนไหน ก็ท่องจำส่วนนั้น ถึงกับมีครูอาจารย์กันเป็นสายๆ เช่นสายวินัยดังจะกล่าวข้างหน้า

พระมหากัสสปเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎกอย่างไร ?

พระมหากัสสป เป็นผู้บวชเมื่อสูงอายุ ท่านพยายามปฏิบัติตนในทางเคร่งครัด แม้จะลำบากบ้างก็แสดงความพอใจว่าจะได้เป็นตัวอย่างแก่ภิกษุรุ่นหลัง พระศาสดาทรงสรรเสริญท่านว่าเป็นตัวอย่างในการเข้าสู่สกุลชักกายและใจห่าง ประพฤติตนเป็นคนใหม่ ไม่คะนองกายวาจาใจในตระกูล นอกจากนั้นยังทรงสรรเสริญในเรื่อความสามารถในการเข้าฌานสมาบัติ

ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ แม้ไม่ใคร่สั่งสอนใครมาก แต่ก็สั่งสอนคนในทางปฏิบัติคือทำตัวเป็นแบบอย่าง เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว ท่านได้เป็นหัวหน้าชักชวนพระสงฆ์ให้ทำสังคายนาคือ ร้อยกรอง หรือจัดระเบียบพระธรรมวินัย นับว่าท่านเป็นผู้มีส่วนสำคัญยิ่งในการทำให้เกิดพระไตรปิฎก อนึ่ง ในการทำสังคายนาครั้งที่ 1 ซึ่งท่านชักชวนให้ทำขึ้นนั้น ท่านเองเป็นผู้ถามทั้งพระวินัยและพระธรรม ท่านพระอุบาลีเป็นผู้ตอบเกี่ยวกับพระวินัย ท่านพระอานนท์เป็นผู้ตอบเกี่ยวกับพระธรรม ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดในตอนที่ว่าด้วยสังคายนา

ได้กล่าวไว้แล้วว่า ในการปรารภนามของพระเถระ 4 รูป ประกอบความรู้เรื่องความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก คือ พระอานนท์ พระอุบาลี พระโสณกุฏิกัณณะ และพระมหากัสสปนั้น ทำให้ความเกี่ยวโยงไปถึงพระพุทธเจ้า พระสาริบุตร พระจุนทะ (น้องชายพระสาริบุตร) คือ

พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ร้อยกรองพระธรรมวินัย

สมัยเมื่อนิครนถนาฏบุตร ผู้เป็นอาจารย์เจ้าลัทธิสำคัญคนหนึ่งสิ้นชีพ สาวกเกิดแตกกัน พระจุนทเถระผู้เป็นน้องชายพระสาริบุตร เกรงเหตุการณ์เช่นนั้นจะเกิดแก่พระพุทธศาสนา จึงเข้าไปหาพระอานนท์เล่าความให้ฟัง พระอานนท์จึงชวนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อกราบทูลแล้วพระองค์ได้ตรัสตอบด้วยข้อความเป็นอันมาก แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่สำคัญยิ่ง (ปาสาทิกสูตร พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 11 หน้า 128 ถึงหน้า 156) คือในหน้า 139 พระผู้มีพระภาคตรัสบอกพระจุนทะ แนะให้รวบรวมธรรมภาษิตของพระองค์ และทำสังคายนาคือจัดระเบียบทั้งโดยอรรถและพยัญชนะเพื่อให้พรหมจรรย์ตั้งมั่นยั่งยืนสืบไป

พระพุทธภาษิตที่แนะนำให้รวบรวมพุทธวจนะร้อยกรองจัดระเบียบหมวดหมู่นี้ ถือได้ว่าเป็นเริ่มต้นแห่งการแนะนำ เพื่อให้เกิดพระไตรปิฎกดั่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

พระสาริบุตรแนะนำให้ร้อยกรองพระธรรมวินัย

ในสมัยเดียวกันนั้น และปรารภเรื่องเดียวกัน คือเรื่องสาวกของนิครนถนาฏบุตรแตกกัน ภายหลังที่อาจารย์สิ้นชีวิต ค่ำวันหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมจบแล้ว เห็นว่าภิกษุทั้งหลายยังใคร่จะฟังต่อไปอีก จึงมอบหมายให้พระสาริบุตรแสดงธรรมแทน ซึ่งท่านได้แนะนำให้รวบรวมร้อยกรองพระธรรมวินัย โดยแสดงตัวอย่างการจัดหมวดหมู่ธรรมะเป็นข้อๆ ตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 10 ว่ามีธรรมอะไรบ้างอยู่ในหมวด 1 หมวด 2 หมวด 3 จนถึงหมวด 10 ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ทรงรับรองว่าข้อคิดและธรรมะที่แสดงนี้ถูกต้อง (สังคีติสูตร พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 11 หน้า 222 ถึงหน้า 287) หลักฐานในพระไตรปิฎกตอนนี้มิได้แสดงว่าพระสาริบุตรเสนอขึ้นก่อน หรือพระพุทธเจ้าตรัสแก่พระจุนทะก่อน แต่รวมความแล้วก็ต้องถือว่า ทั้งพระพุทธเจ้าและพระสาริบุตรได้เห็นความสำคัญของการรวบรวมพระพุทธวจนะ ร้อยกรองให้เป็นหมวดหมู่มาแล้วตั้งแต่ยังไม่ได้ทำสังคายนาครั้งที่ 1

พระจุนทะเถระผู้ปรารถนาดี

เมื่อกล่าวถึงเรื่องความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก และกล่าวถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ทำสังคายนาก็ดี ถ้าไม่กล่าวถึงพระจุนทเถระ ก็ดูเหมือนจะมองไม่เห็นความริเริ่ม เอาใจใส่ และความปรารถนาดีของท่าน ในเมื่อรู้เห็นเหตุการณ์ที่สาวกของนิครนถนาฏบุตรแตกกัน เพราะจากข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ท่านได้เข้าพบพระอานนท์ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกพระอานนท์ชวนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยกัน พระพุทธเจ้าก็ตรัสแนะนำให้ทำสังคายนาดังกล่าวแล้วข้างต้น ครั้งหลังเมื่อสาวกนิครนถนาฏบุตรแตกกันยิ่งขึ้น ท่านก็เข้าหาพระอานนท์อีกขอให้กราบทูลพระพุทธเจ้าเพื่อป้องกันมิให้เหตุการณ์ทำนองนั้นเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรมแก่พระอานนท์ โดยแสดงโพธิปักขิยธรรมอันเป็นหลักของพระพุทธศาสนาแล้วทรงแสดงมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท 6 ประการ อธิกรณ์ 4 ประการ วิธีระงับอธิกรณ์ 7 ประการ กับประการสุดท้ายได้ทรงแสดงหลักธรรมสำหรับอยู่ร่วมกันด้วยความผาสุก 6 ประการ ที่เรียกว่าสาราณิยธรรม อันเป็นไปในทางสงเคราะห์อนุเคราะห์และมีเมตตาต่อกัน มีความประพฤติและความเห็นในทางที่ดีงามร่วมกัน เรื่องนี้ปรากฏในสามคามสูตร พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 14 หน้า 49 ซึ่งควรบันทึกไว้ในที่นี้ เพื่อบูชาคุณ คือความปรารถนาดีของพระจุนทเถระ ผู้แสดงความห่วงใยในความตั้งมั่นยั่งยืนแห่งพระพุทธศาสนา

การสังคายนาเป็นเหตุให้เกิดพระไตรปิฎก

แม้ในตอนต้น จะได้ระบุนามของพระเถระหลายท่าน ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎก แต่พระไตรปิฎกก็เกิดขึ้นภายหลัง ที่ท่านพระเถระทั้งหลาย ได้ร่วมกันร้อยกรองจัดระเบียบพระพุทธวจนะแล้ว ในสมัยของพระพุทธเจ้าเองยังไม่มีการจัดระเบียบหมวดหมู่ ยังไม่มีการจัดเป็นวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธัมมปิฎก นอกจากมีตัวอย่างการจัดระเบียบวินัยในการสวดปาฏิโมกข์ลำดับสิกขาบททุกกึ่งเดือน ตามพระพุทธบัญญัติและการจัดระเบียบธรรมะในสังคีติสูตรและทสุตตรสูตรที่พระสาริบุตรเสนอไว้ กับตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงวิธีจัดระเบียบพระธรรมแก่พระจุนทเถระและพระอานนท์ในปาสาทิกสูตร และสามคามสูตร ดังได้กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้น

พระพุทธเจ้าประทานพระพุทธโอวาทไว้มากหลายต่างกาลเวลา ต่างสถานที่กัน การที่พระสาวกซึ่งท่องจำกันไว้ได้ และจัดระเบียบหมวดหมู่เป็นปิฎกต่างๆ ในเมื่อพระศาสดานิพพานแล้ว พอเทียบได้ดังนี้ พระพุทธเจ้าเท่ากับทรงเป็นเจ้าของสวนผลไม้ เช่น ส้มหรือองุ่น พระเถระผู้จัดระเบียบหมวดหมู่คำสอน เท่ากับผู้ที่จัดผลไม้เหล่านั้นห่อกระดาษบรรจุลังไม้ เป็นประเภทๆ บางอย่างก็ใช้ผงไม้กันกระเทือนใส่แท่นห่อกระดาษ ปัญหาเรื่องของภาชนะที่ใส่ผลไม้เช่นลังหรือห่อก็เกิดขึ้น คือในชั้นแรก คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น รวมเรียกว่าพระธรรมพระวินัย เช่น ในสมัยเมื่อใกล้จะปรินิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า ธรรมและวินัยที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้น จะเป็นศาสดาของท่านทั้งหลายเมื่อเราล่วงลับไป

จึงเป็นอันกำหนดลงเป็นหลักฐานได้อย่างหนึ่งว่า ในสมัยของพระพุทธเจ้ายังไม่มีคำว่า พระไตรปิฎก มีแต่คำว่า ธรรมวินัย คำว่า พระไตรปิฎก หรือ ติปิฎก ในภาษาบาลีนั้น มาเกิดขึ้นภายหลังที่ทำสังคายนาแล้วแต่จะภายหลังสังคายนาครั้งที่เท่าไร จะได้กล่าวต่อไป

อย่างไรก็ตาม แม้คำว่า พระไตรปิฎก จะเกิดขึ้นในสมัยหลังพุทธปรินิพพาน ก็ไม่ทำให้สิ่งที่บรรจุอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น คลายความสำคัญลงเลย เพราะคำว่า พระไตรปิฎก เป็นเพียงภาชนะ กระจาดหรือลังสำหรับใส่ผลไม้ ส่วนตัวผลไม้หรือนัยหนึ่งพุทธวจนะ ก็มีมาแล้วในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพระศาสนา

การสวดปาฏิโมกข์ต่างจากการสังคายนาอย่างไร ?

การสวดปาฏิโมกข์ คือการ “ว่าปากเปล่า” หรือการสวดข้อบัญญัติทางพระวินัย 150 ข้อ ในเบื้องแรก และ 227 ข้อ ในกาลต่อมาทุกๆ กึ่งเดือนหรือ 15 วัน เป็นข้อบัญญัติทางพระวินัย ที่ให้พระภิกษุทั้งหลายต้องลงฟังการกล่าวทบทวนข้อบัญญัติทางพระวินัยนี้ทุกๆ 15 วัน ถ้าขาดโดยไม่มีเหตุผลสมควรต้องปรับอาบัติ การสวดปาฏิโมกข์นี้เป็นตัวอย่างอันหนึ่งของการบังคับให้ท่องจำ ซึ้งข้อปฏิบัติทางพระวินัย แต่ไม่ใช่ทุกท่านสวดพร้อมกัน คงมีผู้สวดรูปเดียว รูปที่เหลือคอยตั้งใจฟัง และช่วยกันทักท้วงเมื่อผิด

ส่วนการสังคายนานั้น แปลตามรูปศัพท์ว่า ร้อยกรอง คือประชุมสงฆ์จัดระเบียบหมวดหมู่พระพุทธวจนะ แล้วรับทราบทั่วกันในที่ประชุมนั้นว่าตกลงกันอย่างนี้ แล้วก็มีการท่องจำนำสืบต่อๆ มา ในชั้นเดิมการสังคายนาปรารภเหตุความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนา จึงจัดระเบียบหมวดหมู่พระพุทธวจนะไว้ ในครั้งต่อๆ มาปรากฏมีการถือผิด ตีความหมายผิด ก็มีการชำระวินิจฉัยข้อที่ถือผิด ตีความหมายผิดนั้น ชี้ขาดว่าที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร แล้วก็ทำการสังคายนา โดยการทบทวนระเบียบเดิมบ้าง เพิ่มเติมของใหม่อันเป็นทำนองบันทึกเหตุการณ์บ้าง จัดระเบียบใหม่ในบางข้อบ้าง ในชั้นหลังๆ เพียงการจารึกลงในใบลาน การสอบทานข้อผิดพลาดในใบลาน ก็เรียกกันว่าสังคายนา ไม่จำเป็นต้องมีเหตุการณ์ถือผิด เข้าใจผิดเกิดขึ้น แต่ความจริงเมื่อพิจารณารูปศัพท์แล้ว การสังคายนาก็เท่ากับการจัดระเบียบ การปัดกวาดให้สะอาด ทำขึ้นครั้งหนึ่งก็มีประโยชน์ครั้งหนึ่ง เหมือนการทำความสะอาด การจัดระเบียบที่อยู่อาศัย

การสังคายนาจึงต่างจากการสวดปาฏิโมกข์ ในสาระสำคัญที่ว่าการสวดปาฏิโมกข์เป็นการทบทวนความจำของที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือน เกี่ยวกับข้อปฏิบัติทางพระวินัย ส่วนการสังคายนาไม่มีกำหนดว่าต้องทำเมื่อไร โดยปกติเมื่อรู้สึกว่าควรจัดระเบียบชำระข้อถือผิดเข้าใจผิดได้แล้ว ก็ลงมือทำตามโอกาสอันสมควร แม้เมื่อรู้สึกว่าไม่มีการถือผิดเข้าใจผิด แต่เห็นสมควรตรวจสอบชำระพระไตรปิฎก แก้ตัวอักษร หรือข้อความที่วิปลาสคลาดเคลื่อน ก็ถือกันว่าเป็นการสังคายนา ดังจะกล่าวต่อไป

ปัญหาเรื่องการนับครั้งในการทำสังคายนา

ในปัจจุบันนี้ ทางประเทศพม่าถือว่า ตั้งแต่เริ่มแรกมามีการทำสังคายนารวม 6 ครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่ 6 พม่าจัดทำเป็นการใหญ่ ในโอกาสใกล้เคียงกับงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ แล้วฉลองพร้อมกันทีเดียวทั้งการสังคายนาครั้งที่ 6 และงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ แต่ตามหลักฐานของพระเถระฝ่ายไทย ผู้รจนาหนังสือสังคีติยวงศ์ หรือประวัติศาสตร์การสังคายนากล่าวว่า สังคายนามี 9 ครั้ง รวมทั้งครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงกระทำในรัชสมัยของพระองค์ คือการสอบทานแก้ไขพระไตรปิฎก แล้วจารึกลงในใบลานเป็นหลักฐาน

โดยเหตุที่ความรู้เรื่องการสังคายนา ย่อมเป็นเรื่องสำคัญในความรู้เรื่องความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้น จะได้รวบรวมมติของประเทศต่างๆ เกี่ยวกับการทำสังคายนา และปัญหาการนับครั้งมารวมเป็นหลักฐานไว้ในที่นี้ รวมเป็น 5 หัวข้อคือ

  1. การนับครั้งสังคายนาที่รู้กันทั่วไป
  2. การนับครั้งสังคายนาของลังกา
  3. การนับครั้งสังคายนาของพม่า4.การนับครั้งสังคายนาของไทย
  4. การสังคายนาของฝ่ายมหายาน

ในการรวบรวมเรื่องนี้ ผู้เขียนได้อาศัยหลักฐานจากวินัยปิฎกเล่มที่ 7 พร้อมทั้งอรรถกถา, จากหนังสือมหาวงศ์, สังคีติยวงศ์ และบทความของท่าน B. Jinananda ในหนังสือ 2500 Years of Buddhism ซึ่งพิมพ์ในโอกาสฉลอง 25 พุทธศตวรรษในอินเดียและหนังสืออื่นๆ

การนับครั้งสังคายนาที่รู้กันโดยทั่วไป

การนับครั้งสังคายนาที่รู้กันทั่วไปก็คือ สังคายนาครั้งที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งทำในอินเดียอันเป็นของฝ่ายเถรวาท กับอีกครั้งหนึ่งในอินเดียภาคเหนือ ซึ่งพระเจ้ากนิษกะทรงอุปถัมภ์ อันเป็นสังคายนาผสมรวมเป็น 4 ครั้ง แต่ฝ่ายเถรวาทมิได้รับรู้ในการสังคายนาครั้งที่ 4 นั้น เพราะการสืบสายศาสนาแยกกันคนละทาง ตลอดจนภาษาที่รองรับคัมภีร์ทางศาสนาก็ใช้ต่างกัน คือของเถรวาทหรือศาสนาพุทธแบบที่ไทย พม่า ลังกา เขมร ลาว นับถือ ใช้ภาษาบาลี ส่วนของฝ่ายมหายานหรือศาสนาพุทธแบบญี่ปุ่น จีน ธิเบต ญวน และเกาหลี นับถือ ใช้ภาษาสันสกฤต ในสมัยที่ตำราภาษาสันสกฤตสาบสูญก็มีเฉพาะคัมภีร์ที่แปลภาษาจีนและภาษาธิเบตเป็นหลัก แล้วมีผู้แปลสู่ภาษาอื่นๆ เช่นญี่ปุ่นอีกต่อหนึ่ง

สังคายนาครั้งที่ 1

กระทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างเขาเวภารบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์ ประเทศอินเดีย พระมหากัสสปเถระ เป็นประธานและเป็นผู้สอบถาม พระอุบาลีเป็นผู้ตอบข้อซักถามทางวินัย พระอานนท์ เป็นผู้ตอบข้อซักถามทางธรรม มีพระอรหันต์ประชุมกัน 500 รูป กระทำอยู่ 7 เดือน จึงสำเร็จ ในการนี้พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ สังคายนาครั้งนี้กระทำภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานล่วงแล้ว 3 เดือน ข้อปรารภในการสังคายนา คือพระมหากัสสปะปรารภถ้อยคำของภิกษุชื่อสุภัททะ ผู้บวชเมื่อแก่ เมื่อรู้ข่าวปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ภิกษุทั้งหลายร้องไห้เศร้าโศก สุภัททภิกษุก็ห้ามภิกษุเหล่านั้นมิให้เสียใจร้องไห้ เพราะต่อไปนี้จะทำอะไรก็ได้ตามใจแล้ว ไม่ต้องมีใครคอยชี้ว่า นี่ผิด นี่ถูก นี่ควร นี่ไม่ควร อีกต่อไป พระมหากัสสปะสลดใจถ้อยคำของสุภัททภิกษุ จึงนำเรื่องเสนอที่ประชุมสงฆ์ แล้วเสนอชวนให้ทำสังคายนาร้อยกรองจัดระเบียบพระธรรมวินัย ซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบ

มีข้อน่าสังเกตว่า ประวัติการทำสังคายนาครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 7 จุลลวัคค์ หน้า 279 ถึง 423 อันแสดงว่าประวัติเรื่องนี้คงเพิ่มเข้ามาในวินัยปิฎก ในการทำสังคายนาครั้งที่ 3 นอกจากนั้น ในครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 แห่งการทำสังคายนานี้ ไม่มีคำกล่าวถึงปิฎกเลย ใช้คำว่า วินัยวิสัชนา (ตอบเรื่องพระวินัย) และธัมมวิสัชนา (ตอบเรื่องพระธรรม) สำหรับครั้งที่ 1 และใช้คำว่า ทสวัตถุปุจฉาวิสัชนา (ถามตอบเรื่องวัตถุ 10) สำหรับครั้งที่ 2 จึงน่าจะเห็นได้ว่า สังคายนาครั้งแรกและครั้งที่ 2 ยังไม่ได้แยกเป็น 3 ปิฎก แต่เรียกว่าธรรมวินัยรวมๆ ไป โดยรวมสุตตันตปิฎกกับอภิธรรมปิฎกอยู่ในคำว่า “ธรรม”

แต่ในหนังสือชั้นอรรถกถา ซึ่งแต่งขึ้นอธิบายพระไตรปิฎก ภายหลังพุทธปรินิพพานเกือบพันปีอธิบายเป็นเชิงว่า สุดแต่จะจัดประเภท จะว่าพุทธวจนะมี 1 ก็ได้ คือมีความหลุดพ้น เป็นรสเหมือนทะเล แม้จะมีน้ำมากก็มีรสเดียวคือรสเค็ม จะว่ามี 2 ก็ได้ คือเป็นพระธรรมกับพระวินัย จะว่าเป็น 3 ก็ได้ คือไตรปิฎก อันแยกออกเป็นวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธัมมปิฎก จะว่าเป็น 5 ก็ได้ โดยแบ่งออกเป็น 5 นิกาย หรือ 5 หมวด คือ 1.ทีฆนิกาย (หมวดยาว) 2.มัชฌิมนิกาย (หมวดปานกลาง) 3.สังยุตตนิกาย (หมวดประมวลเรื่องเป็นพวกๆ ) 4.อังคุตตรนิกาย (หมวดยิ่งด้วยองค์ คือจัดข้อธรรมเป็นหมวด 1 หมวด 2 เป็นต้น) 5.ขุททกนิกาย (หมวดเล็กน้อยหรือหมวดเบ็ดเตล็ด) การจัดอย่างนี้ จัดตามหลักสุตตันตปิฎก แล้วเอาวินัยปิฎกและอภิธัมมปิฎก มาย่อรวมในขุททกนิกาย คือหมวดเบ็ดเตล็ด นอกนั้นยังอธิบายถึงการแบ่งพระพุทธวจนะเป็น 9 ส่วน เป็น 84,000 ส่วน ซึ่งของดไม่นำมากล่าว

สังคายนาครั้งที่ 2

กระทำที่วาลิการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ประเทศอินเดีย พระยสะ กากัณฑบุตร เป็นผู้ชักชวน พระเถระที่เป็นผู้ใหญ่ร่วมมือในการนี้ที่ปรากฏชื่อมี 8 รูป คือ 1.พระสัพพกามี 2.พระสาฬหะ 3.พระขุชชโสภิตะ 4.พระวาสภคามิกะ ทั้ง 4 รูปนี้ เป็นชาวปาจีนกะ (มีสำนักอยู่ทางตะวันออก) 5.พระเรวตะ 6.พระสัมภูตะ สาณวาสี 7.พระยสะ กากัณฑกบุตร 8.พระสุมนะ ทั้ง 4 รูปนี้ เป็นชาวเมืองปาฐา ในการนี้พระเรวตะเป็นผู้ถาม พระสัพพกามี เป็นผู้ตอบปัญหาทางวินัยที่เกิดขึ้น มีพระสงฆ์ประชุมกัน 700 รูป กระทำอยู่ 8 เดือนจึงสำเร็จ สังคายนาครั้งนี้ กระทำภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วได้ 100 ปี ข้อปรารภในการทำสังคายนาครั้งนี้คือ พระยสะ กากัณฑกบุตร ปรารภข้อปฏิบัติย่อหย่อน 10 ประการทางพระวินัยของพวกภิกษุวัชชีบุตร เช่น ถือว่าควรเก็บเกลือไว้ในเขนง (เขาสัตว์) เพื่อเอาไว้ฉันได้ ตะวันชายเกินเที่ยงไปแล้ว 2 นิ้ว ควรฉันอาหารได้ ควรรับเงินทองได้เป็นต้น พระยสะ กากัณฑกบุตร จึงชักชวนพระเถระต่างๆ ให้ช่วยกันวินิจฉัย แก้ความถือผิดครั้งนี้

รายละเอียดแห่งการสังคายนาครั้งนี้ ปรากฏในวินัยปิฎกเล่ม 7 หน้า396 เป็นต้นไป แต่ไม่ได้กล่าวถึงการจัดระเบียบพระไตรปิฎก คงกล่าวเฉพาะการชำระข้อถือผิด 10 ประการของภิกษุพวกวัชชีบุตร ทั้งไม่ได้บอกว่าทำสังคายนาอยู่นานเท่าไร ในอรรถกถา กล่าวว่าทำอยู่ 8 เดือนจึงสำเร็จ

ข้าพเจ้าได้กล่าวเป็นข้อสังเกตไว้ท้ายเรื่องสังคายนาครั้งที่ 1 แล้วว่า หลักฐานในวินัยปิฎกที่กล่าวถึงการสังคายนาครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ไม่มีกล่าวถึงคำว่า “ไตรปิฎก” เลย แต่ถ้ากล่าวตามหลักฐานที่ปรากฏในหนังสือสมันตัปปาสาทิกา ซึ่งแต่งขึ้นอธิบายวินัยปิฎกเมื่อพุทธปรินิพพานแล้วเกือบพันปี ท่านได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า การทำสังคายนาจัดประเภทพระพุทธวจนะ เป็นรูปพระไตรปิฎกได้มีมาแล้วตั้งแต่สังคายนาครั้งที่ 1 แม้ครั้งที่ 2 ก็ทำซ้ำอีก

เพราะฉะนั้น ถ้าถือตามหลักฐานของอรรถกถา การสังคายนาจัดระเบียบเป็นรูปพระไตรปิฎกก็มีมาแล้วตั้งแต่การสังคายนาครั้งที่ 1 เป็นต้นมา

สังคายนาครั้งที่ 3

ได้กล่าวแล้วว่า เรื่องสังคายนาที่ปรากฏในวินัยปิฎกมีเพียงครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2 ส่วนเรื่องการสังคายนาครั้งที่ 3 มีปรากฏในชั้นอรรถกถาอันพอเก็บใจความได้ดังนี้

สังคายนาครั้งที่ 3 กระทำที่อโศการาม กรุงปาตลีบุตร ประเทศอินเดีย พระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระเป็นหัวหน้า มีพระสงฆ์ประชุมกัน 1,000 รูป ทำอยู่ 9 เดือนจึงสำเร็จ สังคายนาครั้งนี้กระทำภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว 234 หรือ 235 ปี ข้อปรารภในการทำสังคายนาในครั้งนี้คือ พวกเดียรถีย์ หรือนักบวชศาสนาอื่นมาปลอมบวช แล้วแสดงลัทธิศาสนาและความเห็นของตนว่าเป็นพระพุทธศาสนา พระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระ ได้ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราช ชำระสอบสวนกำจัดเดียรถีย์เหล่านั้นจากพระธรรมวินัยได้แล้ว จึงสังคายนาพระธรรมวินัย

มีข้อน่าสังเกตว่า ในการทำสังคายนาครั้งนี้พระโมคคัลลีบุตรได้แต่งคัมภีร์กถาวัตถุ ซึ่งเป็นคัมภีร์ในอภิธัมมปิฎกเพิ่มขึ้นด้วย ตามประวัติว่าบทตั้งมีอยู่เดิมแล้วแต่ได้แต่งขยายให้พิสดารออกไป เรื่องกถาวัตถุ เป็นเรื่องคำถามคำตอบเกี่ยวกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มีคำถาม 500 คำตอบ 500 และเมื่อทำสังคายนาเสร็จแล้ว ก็ได้ส่งคณะทูตไปประกาศพระศาสนาในประเทศต่างๆ รวมทั้งพระมหินทเถระ ผู้เป็นโอรสพระเจ้าอโศก ได้นำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานในลังกาเป็นครั้งแรก การส่งสมณะทูตไปทิศทางต่างๆ ครั้งนั้นถือหลักว่าให้ไปครบ 5 รูป เพื่อจะได้ให้การอุปสมบทแก่ผู้เลื่อมใสได้ แต่คงไม่ระบุชื่อหมดทั้ง 5 โดยมากออกนามเฉพาะท่านผู้เป็นหัวหน้า

การสังคายนาครั้งที่ 4

การสังคายนาครั้งที่นี้ผสมกับฝ่ายมหายาน กระทำกันในอินเดียภาคเหนือ ด้วยความอุปถัมภ์ของพระเจ้ากนิษกะ ได้กล่าวแล้วว่าสังคายนาครั้งนี้ ทางฝ่ายเถรวาท คือฝ่ายที่ถือพระพุทธศาสนาแบบที่ไทย ลาว เขมร พม่า ลังกานับถือ มิได้รับรองเข้าอันดับเป็นครั้งที่ 4 เพราะเป็นการสังคายนาของนิกายสัพพัตถิกวาท ซึ่งแยกออกไปจากเถรวาททำผสมกับฝ่ายมหายาน และเพราะมีสายแห่งการสืบต่อสั่งสอนอบรม ไม่ติดต่อเกี่ยวข้องกัน จึงไม่มีบันทึกหลักฐานเรื่องนี้ทางเถรวาท ทั้งภาษาที่ใช้สำหรับพระไตรปิฎกก็ไม่เหมือนกัน คือฝ่ายมหายานใช้ภาษาสันสกฤต (บางครั้งก็ปนปรากฤต) ฝ่ายเถรวาทใช้ภาษาบาลี

แม้สังคายนาครั้งที่ 3 ในอินเดียซึ่งกล่าวมาแล้วข้างต้น ทางฝ่ายจีนและธิเบตก็ไม่มีบันทึกรับรองไว้เพราะเป็นคนละสายเช่นเดียวกัน

แต่เนื่องจากการสังคายนาครั้งนี้เป็นที่รู้กันทั่วไปในวงการของผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา จึงนับว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ควรนำมากล่าวไว้ด้วย และเมื่อคิดตามลำดับเวลาแล้ว ก็นับเป็นสังคายนาครั้งที่ 4 ที่ทำในอินเดีย เมื่อประมาณ ค.ศ.100 หรือ พ.ศ.643 เรื่องปีที่ทำสังคายนานี้ หนังสือบางเล่มก็กล่าวต่างออกไป สังคายนาครั้งนี้กระทำ ณ เมืองชาลันธร แต่บางหลักฐานก็ว่าทำที่กาษมีระ หรือแคชเมียร์ รายละเอียดบางประการ จะได้กล่าวถึงตอนที่ว่าด้วยการสังคายนาของนิกายสัพพัตถิกวาท

มีข้อน่าสังเกต คือหนังสือประวัติศาสตร์ของอินเดียบางเล่มกล่าวว่า ใน ค.ศ.634 (พ.ศ.1177) พระเจ้าศีลาทิตย์ ได้จัดให้มีมหาสังคายนาขึ้นในอินเดียภาคเหนือ มีกษัตริย์ประเทศราชมาร่วมด้วยถึง 21 พระองค์ ในพิธีนี้มีพระสงฆ์ผู้คงแก่เรียน และพราหมณ์ผู้ทรงความรู้มาประชุมกัน ในวันแรกตั้งพระพุทธรูปบูชาในพิธี ในวันที่ 2 ตั้งรูปสุริยเทพ ในวันที่ 3 ตั้งรูปพระศิวะ การสังคายนาครั้งนี้จึงมีลักษณะผสม คือทั้งพุทธ ทั้งพราหมณ์ ภิกษุที่เข้าประชุมก็มีทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน แต่เมื่อสอบดูหนังสือประวัติของภิกษุเฮี่ยนจัง ซึ่งบันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ด้วย กลายเป็นการประชุมเพื่อให้มาโต้แย้งกับภิกษุเฮี่ยนจัง ผู้แต่ตำรายกย่องพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานไป หาใช่การสังคายนาอย่างไรไม่ ที่บันทึกไว้ในที่นี้ด้วยก็เพื่อให้หมดปัญหาประวัติการสังคายนาในประเทศอินเดีย

การนับสังคายนาของลังกา

ลังกาซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเช่นเดียวกับไทย คงรับรองการสังคายนาทั้งสามครั้งแรกในอินเดีย แต่ไม่รับรองสังคายนาครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นของนิกายสัพพัตถิกวาทผสมกับฝ่ายมหายาน

หนังสือสมันตัปปาสาทิกา ซึ่งแต่อธิบายวินัยปิฎกกล่าวว่า เมื่อทำสังคายนาครั้งที่ 3 เสร็จแล้ว พระมหินทเถระผู้เป็นโอรสของพระเจ้าอโศก พร้อมด้วยพระเถระอื่นๆ รวมกันครบ 5 รูป ได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในลังกา ได้พบพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ แสดงธรรมให้พระราชาเลื่อมใสและประดิษฐานพระพุทธศาสนาได้แล้ว ก็มีการประชุมสงฆ์ให้พระอริฏฐะผู้เป็นศิษย์ของพระมหินทเถระ สวดพระวินัยเป็นการสังคายนาวินัยปิฎก ส่วนหนังสืออื่นๆ เช่นสังคีติวงศ์กล่าวว่ามีการสังคายนาทั้งสามปิฎก สังคายนาครั้งนี้กระทำที่ถูปาราม เมืองอนุราธปุระ มีพระมหินทเถระเป็นประธาน

การสังคายนาครั้งนี้ ต่อจากสังคายนาครั้งที่ 3 ในอินเดียไม่กี่ปี คือการทำสังคายนาครั้งที่ 3 กระทำใน พ.ศ.235 พอทำสังคายนาเสร็จแล้วไม่นาน (พ.ศ.236) พระมหินทเถระก็เดินทางไปเผย แผ่พระพุทธศาสนาในลังกา และในปี พ.ศ. 238 ก็ได้ทำสังคายนาในลังกา เหตุผลที่อ้างในการทำสังคายนาครั้งนี้ก็คือ เพื่อให้พระศาสนาตั้งมั่น เพราะเหตุที่สังคายนาครั้งนี้ห่างจากครั้งแรกประมาณ 3-4 ปี บางมติจึงไม่ยอมรับเป็นสังคายนา เช่นมติของฝ่ายพม่าดังจะกล่าวข้างหน้า ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า สังคายนาครั้งนี้ อาจเป็นการวางรากฐานให้ชาวลังกาท่องจำพระพุทธพจนะ จึงต้องประชุมชี้แจงหรือแสดงรูปแห่งพุทธวจนะตามแนวที่ได้จัดระเบียบไว้ในการสังคายนาครั้งที่ 3 ในอินเดีย ฉะนั้นจึงนับว่าเป็นสังคายนาครั้งแรกในลังกา

สังคายนาครั้งที่ 2 ในลังกา กระทำเมื่อประมาณ พ.ศ.433 ในรัชสมัยของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย เรื่องที่ปรากฏเป็นเหตุทำสังคายนาครั้งนี้ คือเห็นกันว่า ถ้าจะใช้วิธีท่องจำพระพุทธวจนะต่อไป ก็อาจมีข้อวิปริตผิดพลาดได้ง่าย เพราะปัญญาการท่องจำของกุลบุตรเสื่อมถอยลง จึงตกลงจารึกพระพุทธวจนะลงในใบลาน มีคำกล่าวว่า ได้จารึกอรรถกถาลงไว้ด้วย สังคายนาครั้งนี้การะทำที่อาโลกเลณสถาน ณ มตเลชนบท ซึ่งไทยเราเรียกว่ามลัยชนบท ประเทศลังกา มีพระรักขิตมหาเถระเป็นประธาน ได้กล่าวแล้วว่า บางมติไม่รับรองการสังคายนาของพระมหินท์ ว่าเป็นครั้งที่ 4 ต่อจากอินเดีย แต่สังคายนาครั้งที่ 2 ในลังกานี้ ได้รับการรับรองเข้าลำดับโดยทั่วไป บางมติก็จัดเข้าเป็นลำดับที่ 5 บางมติที่มารับรองสังคายนาของพระมหินท์ (ครั้งแรกในลังกา) ก็จัดสังคายนาครั้งที่ 2 ในลังกานี้ว่า เป็นครั้งที่ 4 ต่อจากอินเดีย

สังคายนาครั้งที่ 3 ในลังกากระทำเมื่อไม่ถึงร้อยปีมานี้นี่เอง คือใน พ.ศ.2408 (ค.ศ.1865) ที่รัตนปุระในลังกา พระเถระชื่อหิกขทุเว สิริสุมังคละ เป็นหัวหน้า กระทำอยู่ 5 เดือน การสังคายนาครั้งนี้ น่าจะไม่มีใครรู้กันมากนัก นอกจากเป็นบันทึกของชาวลังกาเอง การโฆษณาก็คงไม่มากมายเหมือนสังคายนาครั้งที่ 6 ของพม่า 

การนับสังคายนาของพม่า

ได้กล่าวแล้วว่า พม่าไม่รับรองสังคายนาครั้งแรกในลังกา คงรับรองเฉพาะสังคายนาครั้งที่ 2 ของลังกา ว่าเป็นครั้งที่ 4 ต่อจากนั้นก็นับสังคายนาครั้งที่ 5 และที่ 6 ซึ่งกระทำในประเทศพม่า

สังคายนาครั้งแรกในพม่า หรือที่พม่านับว่าเป็นครั้งที่ 5 ต่อจากครั้งจารึกลงในใบลานของลังกา สังคายนาครั้งนี้ มีการจารึกพระไตรปิฎกลงในแผ่นหินอ่อน 729 แผ่น ณ เมืองมันดเล ด้วยการอุปถัมภ์ของพระเจ้ามินดง ใน พ.ศ.2414 (ค.ศ.1871) พระมหาเถระ 3 รูป คือ พระชาคราภิวังสะ พระนรินทาภิธชะ และพระสุมังคลสามี ได้ผลัดเปลี่ยนกันเป็นประธานโดยลำดับ มีพระสงฆ์และพระอาจารย์ผู้แตกฉานในพระปริยัติธรรมร่วมประชุม 2,400 ท่าน กระทำอยู่ 5 เดือนจึงสำเร็จ

สังคายนาครั้งที่ 2 ในพม่า หรือที่พม่านับว่าเป็นครั้งที่ 6 ที่เรียกว่าฉัฏฐสังคายนา เริ่มกระทำเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2497 จนถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2499 เป็นอันปิดงาน ในการปิดงาน ได้กระทำร่วมกับการฉลอง 25 พุทธศตวรรษ (การนับปีของพม่าเร็วกว่าไทย 1 ปี จึงเท่ากับเริ่ม พ.ศ.2498 ปิด พ.ศ. 2500 ตามที่พม่านับ) พม่าทำสังคายนาครั้งนี้ มุ่งพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นข้อแรก แล้วจะจัดพิมพ์อรรถกถา (คำอธิบายพระไตรปิฎก) และคำแปลเป็นภาษาพม่าโดยลำดับ มีการโฆษณาและเชิญชวนพุทธศาสนิกชนหลายประเทศไปร่วมพิธีด้วย โดยเฉพาะประเทศเถรวาท คือ พม่า ลังกา ไทย ลาว เขมร ทั้งห้าประเทศนี้ ถือว่าสำคัญสำหรับการสังคายนาครั้งนี้มาก เพราะใช้พระไตรปิฎกภาษาบาลีอย่างเดียวกัน จึงได้มีสมัยประชุม ซึ่งประมุขหรือผู้แทนประมุขของทั้งห้าประเทศนี้เป็นหัวหน้า เป็นสมัยของไทยสมัยของลังกาเป็นต้น ได้มีการก่อสร้างคูหาจำลองทำด้วยคอนกรีต จุคนได้หลายพันคน มีที่นั่งสำหรับพระสงฆ์ไม่น้อยกว่า 2,500 ที่ บริเวณที่ก่อสร้างประมาณ 200 ไร่เศษ เมื่อเสร็จแล้วได้แจกจ่ายพระไตรปิฎกฉบับอักษรพม่าในประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย 

การนับสังคายนาของไทย

ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมของไทยเรายอมรับรองสังคายนาครั้งที่ 1-2-3 ในอินเดีย และครั้งที่ 1-2 ในลังกา รวมเป็น 5 ครั้ง ถือว่าเป็นประวัติที่ควรรู้เกี่ยวกับความเป็ฯมาแห่งพระธรรมวินัยแต่สมเด็จพระมหาสมณะเจ้า กรมพระยาวชิญาณวโรรส ทรงถือว่าสังคายนาในลังกาทั้งสองครั้ง เป็นเพียงสังคายนาเฉพาะประเทศ ไม่ควรจัดเป็นสังคายนาทั่วไป จึงทรงบันทึกพระมติไว้ในท้ายหนังสือพุทธประวัติ เล่ม 3

แต่ตามหนังสือสังคีติยวงศ์ หรือประวัติแห่งการสังคายนา ซึ่งสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพน รจนาเป็นภาษาบาลีในรัชการที่ 1 ตั้งแต่ครั้งเป็นพระพิมลธรรม ได้ลำดับความเป็นมาแห่งสังคายนาไว้ 9 ครั้งดังต่อไปนี้

สังคายนาครั้งที่ 1-2-3 ทำในประเทศอินเดียตรงกับที่กล่าวไว้ในเบื้องต้น

สังคายนาครั้งที่ 4-5 ทำในลังกา คือครั้งที่ 1 ที่ 2 ที่ทำในลังกาดังได้กล่าวแล้วในประวัติการสังคายนาของลังกา

สังคายนาครั้งที่ 6 ทำในลังกาเมื่อ พ.ศ. 956 พระพุทธโฆสะได้แปลและเรียบเรียงอรรถกถาคือคำอธิบายพระไตรปิฎก จากภาษาลังกาเป็นภาษาบาลี ในรัชสมัยของพระเจ้ามหานาม เนื่องจากการแปลอรรถกถาเป็นภาษาบาลีครั้งนี้ มิใช่การสังคายนาพระไตรปิฎก ทางลังกาเองจึงไม่ถือว่าเป็นการสังคายนาตามแบบแผนที่นิยมกันว่า จะต้องมีการชำระพระไตรปิฎก

สังคายนาครั้งที่ 7 ทำในลังกาเมื่อ พ.ศ.1587 พระกัสสปเถระได้เป็นประธานมีพระเถระร่วมด้วยกว่า 1,000 รูป ได้รจนาคำอธิบายอรรถกถาพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี กล่าวคือแต่งตำราอธิบายคัมภีร์อรรถกถา ซึ่งพระพุทธโฆสะได้ทำเป็นภาษาบาลีไว้ในการสังคายนาครั้งที่ 6 คำอธิบายอรรถกถานี้ กล่าวตามสำนวนนักศึกษาก็คือ คัมภีร์ฎีกา ตัวพระไตรปิฎก เรียกว่าบาลี คำอธิบายพระไตรปิฎก เรียกว่าอรรถกถา คำอธิบายอรรถกถา เรียกว่าฎีกา การทำสังคายนาครั้งนี้ เนื่องจากมิใช่สังคายนาพระไตรปิฎกแม้ทางลังกาเองก็ไม่รับรองว่าเป็นสังคายนา

อย่างไรก็ตาม ข้อความที่กล่าวไว้ในหนังสือสังคีติวงศ์ ก็นับว่าได้ประโยชน์ในการรู้ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก อรรถกถา และฎีกา อย่างดียิ่ง

สังคายนาครั้งที่ 8 ทำในประเทศไทย ประมาณ พ.ศ.2020 พระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ ได้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงไตรปิฎกหลายร้อยรูป ให้ช่วยชำระอักษรพระไตรปิฎก ในวัดโพธาราม เป็นเวลา 1 ปี จึงสำเร็จสังคายนา ครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ 1 ในประเทศไทย

การสังคายนาครั้งที่ 9 ทำในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2331 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงอาราธนาพระสงฆ์ให้ชำระพระไตรปิฎก ในครั้งนี้มีพระสงฆ์ 218 รูป กับราชปัณฑิตาจารย์ อุบาสก 32 คน ช่วยกันชำระพระไตรปิฎก แล้วจัดให้มีการจารึกลงในใบลาน สังคายนาครั้งนี้สำเร็จภายใน 5 เดือน จัดว่าเป็นสังคายนาครั้งที่ 2 ในประเทศไทย

ประวัติการสังคายนา 9 ครั้งตามที่ปรากฏในหนังสือสังคีติยวงศ์ ซึ่งสมเด็จพระวันรัตรจนาไว้นี้ ภิกษุชินานันทะ ศาสตราจารย์ภาษาบาลี และพุทธศาสตร์แห่งสถาบันภาษาบาลีที่นาลันทาได้นำไปเล่าไว้เป็นภาษาอังกฤษ ในหนังสือ 2500 ปี แห่งพระพุทธศาสนาในอินเดีย ซึ่งพิมพ์ขึ้นในโอกาสฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ในอินเดียด้วย

ความรู้เรื่องการชำระและการพิมพ์พระไตรปิฎกในประเทศไทย มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนชาวไทยโดยเฉพาะ ข้าพเจ้าจึงจะกล่าวถึงเรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้กล่าวถึงเรื่องอื่นๆ เสร็จแล้ว

การสังคายนาของฝ่ายมหายาน

การที่กล่าวถึงสังคายนาฝ่ายมหายาน ซึ่งเป็นคนละสายกับฝ่ายเถรวาทไว้ในที่นี้ด้วย ก็เพื่อเป็นแนวศึกษาและประดับความรู้ เพราะพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาท โดยเฉพาะสุตตันตปิฎก ได้มีคำแปลในภาษาจีน ซึ่งแสดงว่าฝ่ายมหายาน ได้มีเอกสารของฝ่ายเถรวาทอยู่ด้วย จึงควรจะได้สอบสวนดูว่า ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกนั้น ทางฝ่ายมหายานได้กล่าวถึงอย่างไร

เมื่อกล่าวตามหนังสือพุทธประวัติ และประวัติสังฆมณฑลสมัยแรกตามฉบับของธิเบต ซึ่งชาวต่างประเทศได้แปลไว้เป็นภาษาอังกฤษ ได้กล่าวถึงการสังคายนา 2 ครั้งคือ ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ในอินเดียดังที่รู้กันทั่วไป แต่จะเล่าไว้ในที่นี้เฉพาะข้อที่น่าสังเกตคือ

ในสังคายนาครั้งที่ 1 หลักฐานฝ่ายเถรวาท ว่าสังคายนาพระธรรมกับพระวินัย พระอานนท์เป็นผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับพระธรรม จึงหมายถึงว่า พระอานนท์ได้วิสัชนาทั้งสุตตันตปิฎกและอภิธรรมปิฎก แต่ในฉบับของธิเบตกล่าวว่า พระมหากัสสปะเป็นผู้วิสัชนาอภิธัมมปิฎก ส่วนพระอานนท์วิสัชนาสุตตันตปิฎก และพระอุบาลีวิสัชนาวินัยปิฎก กับได้กล่าวพิสดารออกไปอีกว่า สังคายนาสุตตันตปิฎกก่อน พอพระอานนท์เล่าเรื่องปฐมเทศนาจบ พระอัญญาโกณฑัญญะได้ยืนยันว่าถูกต้องแล้ว เป็นพระสูตรที่ท่านได้สดับมาเอง แม้เมื่อกล่าวสูตรที่ 2 (อนัตตลักขณสูตร) จบ พระอัญญาโกณฑัญญะก็ให้คำรับรองเช่นกัน รายละเอียดอย่างอื่นที่เห็นว่าฟั่นเฝือ ได้งดไม่นำมากล่าวในที่นี้ มีข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ ในหนังสือที่อ้างถึงนี้ใช้คำว่า “มาติกา” (มาตฺริกา) แทนคำว่า อภิธรรมปิฎก

ในสังคายนาครั้งที่ 2 ฉบับมหายานของธิเบตได้กล่าวคล้ายคลึงกับหลักฐานของฝ่ายเถรวาทมาก ทั้งได้ลงท้ายว่า ที่ประชุมได้ลงมติ ตำหนิข้อถือผิด 10 ประการของภิกษุชาววัชชี อันแสดงว่าหลักฐานของฝ่ายมหายานกลับรับรองเรื่องนี้ ผู้แปล (คือ Rockhill) อ้างว่าได้สอบสวนฉบับของจีน ซึ่งมีผู้แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ากล่าวถึงอะไร นอกจากจบลงด้วยการตำหนิข้อถือผิด 10 ประการนั้น

ดร.นลินักษะ แห่งมหาวิทยาลัยกัลกัตตา อินเดีย ได้พยายามรวบรวมหลักฐานฝ่ายมหายาน เกี่ยวด้วยสังคายนาครั้งที่ 2 ไว้ อย่างละเอียดเป็น 3 รุ่น คือรุ่นแรก รุ่นกลาง รุ่นหลัง แม้รายละเอียดปลีกย่อยในหลักฐานนั้นๆ จะมีต่างกันออกไปก็ตาม แต่ก็เป็นอันตกลงว่า ฝ่ายมหายานได้รับรองการสังคายนาครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ร่วมกัน

โดยเหตุที่คัมภีร์พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มักจะมีอะไรต่ออะไรต่างออกไปจากของเถรวาท เมื่อเกิดปัญหาว่า คัมภีร์เหล่านั้นมีมาอย่างไร ก็มักจะมีคำตอบว่า มีการสังคายนาของฝ่ายมหายานคัมภีร์เหล่านั้นเกิดขึ้นจากผู้ที่สังคายนา ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิได้รู้ได้ฟังมาคนละสายกับฝ่ายเถรวาท

เมื่อตรวจสอบจากหนังสือของฝ่ายมหายาน แม้จะพบว่าสังคายนาผสมกับฝ่ายมหายานนั้น เกิดเมื่อสมัยพระเจ้ากนิษกะ ประมาณ พ.ศ. 643 ก็จริง แต่ข้ออ้างต่างๆ มักจะผิดพลาดไปถึงสังคายนาครั้งที่ 1 และที่ 2 คือมีคณะสงฆ์อีกฝ่ายหนึ่ง ทำสังคายนาแข่งขันอีกส่วนหนึ่งคือ

1.สังคายนาครั้งแรก ที่พระมหากัสสปะเป็นประธานนั้น กระทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างเขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ มีคำกล่าวว่าของฝ่ายมหายานว่า ภิกษุทั้งหลายผู้มิได้รับเลือกเป็นการกสงฆ์ (คือสงฆ์ผู้กระทำหน้าที่) ในปฐมสังคายนาซึ่งมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ได้ประชุมกันทำสังคายนาขึ้นอีกส่วนหนึ่ง เรียกว่าสังคายนานอกถ้ำ และโดยเหตุที่ภิกษุผู้ทำสังคายนานอกถ้ำมีจำนวนมาก จึงเรียกอีกอย่างว่า สังคายนามหาสังฆิกะ คือของสงฆ์หมู่ใหญ่ เรื่องนี้ปรากฏในประวัติของหลวงจีนเฮี่ยนจัง ผู้เดินทางไปดูการพระพุทธศาสนาในอินเดีย ที่นายเคงเหลียน สีบุญเรือง แปลเป็นภาษาไทย หน้า169 และกล่าวด้วยว่า ในการสังคายนาครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 5 ปิฎก คือ พระสูตร, วินัย, อภิธรรม, ปกิณณกะ, และธารณี

แต่หลักฐานของการสังคายนา “นอกถ้ำ” ครั้งที่ 1 นี้น่าจะเป็นการกล่าวสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขนานกับการสังคายนาครั้งที่ 2 หรืออีกนัยหนึ่งเอาเหตุการณ์ในการสังคายนาครั้งที่ 2 ไปเป็นครั้งที่ 1 คือ

2.การสังคายนาของมหาสังฆิกะ มีเรื่องเล่าว่า เมื่อพวกภิกษุวัชชีบุตร ถือวินัยย่อหย่อน 10 ประการ และพระยสะ กากัณฑกบุตร ได้ชักชวนคณะสงฆ์ในภาคต่างๆ มาร่วมกันทำสังคายนา ชำระมลทินโทษแห่งพระศาสนาวินิจฉัยชี้ว่า ข้อถือผิด 10 ประการนั้น มีห้ามไว้ในพระวินัยอย่างไร แล้วได้ทำสังคายนาในขณะเดียวกัน พวกภิกษุวัชชีบุตรซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ก็ได้เรียกประชุมสงฆ์ถึง 10,000 รูป ทำสังคายนาของตนเองที่เมืองกุสุมปุระ (ปาตลีบุตร) ให้ชื่อว่ามหาสังคีติ คือมหาสังคายนาเป็นเหตุให้เกิดนิกายมหาสังฆิกะ ซึ่งแม้จะยังไม่นับว่าเป็นมหายานโดยตรง แต่ก็นับได้ว่าเป็นเบื้องต้นแห่งการแตกแยกจากฝ่ายเถรวาท มาเป็นมหายานในกาลต่อมา การสังคายนาครั้งนี้ ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงของเดิมไปไม่น้อย หลักฐานของฝ่ายมหายานบางเล่ม ได้กล่าวถึงกำเนิดของนิกายมหาสังฆิกะ โดยไม่กล่าวถึงวัตถุ 10 ประการก็มี แต่กล่าวว่า ข้อเสนอ 5 ประการของมหาเทวะเกี่ยวกับพระอรหันต์ว่า ยังมิได้ดับกิเลสโดยสมบูรณ์เป็นต้น เป็นเหตุให้เกิดการสังคายนาครั้งที่ 2 แล้วพวกมหาสังฆิกะ ก็แยกออกมาทำสังคายนาของตน

การสังคายนาของนิกายสัพพัตถิกวาท

การสังคายนาของพระเจ้ากนิษกะประมาณในปีพุทธศักราช 643 (ค.ศ.100) พระเจ้ากนิษกะ ผู้มีอำนาจอยู่ในอินเดียภาคเหนือได้สนับสนุนให้มีการสังคายนา ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นสังคายนาแบบผสม ณ เมืองชาลันธร หรือบางแห่งกล่าวว่าเมืองกาษมีระ

ในหนังสือจดหมายเหตุของหลวงจีนเฮี่ยนจังเล่าว่า พระเจ้ากนิษกะหันมาสนใจพระพุทธศาสนาและตำรับตำราแห่งศาสนานี้ จึงให้อาราธนาพระภิกษุ 1 รูป ไปสอนทุกวันๆ และเนื่องจากภิกษุแต่ละรูปที่ไปสอนก็สอนต่างๆ กันออกไป บางครั้งก็ถึงกับขัดกันพระเจ้ากนิษกะทรงลังเลไม่รู้จะฟังว่าองค์ไหนถูกต้องจึงปรึกษาข้อความนี้กับพระเถระผู้มีนามว่า ปารสวะ ถามว่า คำสอนที่ถูกต้องนั้นคืออันใดกันแน่ พระเถระแนะนำให้แล้ว พระเจ้ากนิษกะจึงตกลงพระทัยจัดให้มีการสังคายนา ซึ่งมีภิกษุสงฆ์นิกายต่างๆ ได้รับอาราธนาให้มาเข้าประชุม พระเจ้ากนิษกะโปรดให้สร้างวัด เป็นที่พักพระสงฆ์ได้ 500 รูป ผู้จะพึงเขียนคำอธิบายพระไตรปิฎก คำอธิบายหรืออรรถกถาสุตตันตปิฎก มี 100,000 โศลก อรรถกถาวินัยปิฎก 100,000 โศลก และอรรถกถาอภิธรรมอันมีนามว่า อภิธรรมวิภาษา มีจำนวน 100,000 ก็ได้แต่งขึ้นในสังคายนาครั้งนี้ด้วย เมื่อทำสังคายนาเสร็จแล้ว ก็ได้จารึกลงในแผ่นทองแดง เก็บไว้ในหีบศิลา แล้วบรรจุไว้ในเจดีย์ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะเพื่อการนี้อีกต่อหนึ่ง มีข้อสังเกตคือกำหนดกาลของการสังคายนาครั้งนี้ ที่ปรากฏในคัมภีร์ฝ่ายธิเบตกล่าวว่า กระทำในยุคหลังกว่าที่หลวงจีนเฮี่ยนจังกล่าวไว้ แต่เรื่อง พ.ศ. ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในพระพุทธศาสนาก็มีข้อแย้งผิดเพี้ยน กันอยู่มิใช่แห่งเดียว จึงเป็นข้อที่ควรจะได้พิจารณาสอบสวนในทางควรต่อไป

การสังคายนาครั้งนี้ เป็นของนิกายสัพพัตถิกวาท ซึ่งแยกสาขาออกไปจากเถรวาท แต่ก็มีพระของฝ่ายมหายานร่วมอยู่ด้วย จึงเท่ากับเป็นการสังคายนาผสม

สังคายนานอกประวัติศาสตร์

ยังมีสังคายนาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ และไม่ได้การรับรองทางวิชาการจากผู้ศึกษาค้นคว้าทางพระพุทธศาสนา อาจถือได้ว่าเป็นความเชื่อถือปรัมปราของพุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานในจีนและญี่ปุ่น คือสังคายนาของพระโพธิสัตว์มัญชุศรี กับพระโพธิสัตว์ ไมเตรยะ (พระศรีอารย์) ทั้งนี้ ปรากฏตามหลักฐาน ในหนังสือประวัติศาสตร์ย่อแห่งพระพุทธศาสนา 12 นิกาย ของญี่ปุ่น หน้า 51 ซึ่งไม่ได้บอกกาลเวลา สถานที่ และรายละเอียดไว้ ที่นำมากล่าวไว้ในที่นี้ พอเป็นเครื่องประดับความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกในที่มาต่างๆ เท่าที่จะค้นหามาได้

เป็นอันว่าได้กล่าวถึงการสังคายนา ทั้งของฝ่ายเถรวาทและของมหายานไว้พอเป็นแนวทางให้ทราบความเป็นมาแห่งคำสอนทางพระพุทธศาสนา และโดยเฉพาะคัมภีร์พระไตรปิฎก ทั้งได้พยายามรวบรัดกล่าว เพราะไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นต้องแต่งประวัติศาสตร์ควาเป็นมาแห่งพระพุทธศาสนาขนาดใหญ่ไว้ในที่นี้

ลำดับอาจารย์ผู้ทรงจำพระไตรปิฎก

ได้กล่าวไว้แล้วในสมัยที่ยังมิได้มีการจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลานนั้น ใช้วิธีท่องจำ และการท่องจำก็แบ่งหน้าที่กัน ตามแต่ใครจะสมัครเป็นผู้เชี่ยวชาญในส่วนไหนตอนไหนของพระไตรปิฎก เช่น คำว่า ทีฆภาณกะ แปลว่า ผู้สวดคัมภีร์ทีฆนิกาย (พระธรรมเทศนาหมวดยาว) มัชฌิมภาณกะ ผู้สวดคัมภีร์มัชฌิมนิกาย (พระธรรมเทศนาขนาดปานกลาง) โดยนัยนี้จังเป็นการแบ่งงานกันทำในการท่องจำพระไตรปิฎก และมีผู้เชี่ยวชาญใจแต่ละสาขา มีศิษย์ของแต่ละสำนักท่องจำตามที่อาจารย์สั่งสอน เป็นทางให้เห็นความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก ด้วยประการฉะนี้

ในหนังสืออธิบายพระไตรปิฎก หรือที่เรียกว่าอรรถกถา ได้แสดงการสืบสายของอาจารย์ในแต่ละทางคือ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธัมมปิฎก ที่เรียกว่าอาจริยปรัมปรา สายแห่งพระอาจารย์ดังนี้

สายวินัยปิฎก

  1. พระอุบาลี
  2. พระทาสกะ
  3. พระโสณกะ
  4. พระสิคควะ
  5. พระโมคคลีบุตรติสสะ

สายสุตตันตปิฎก

ไม่ได้มีระบุไว้ในอรรถกถา เป็นแต่ได้กล่าวถึงการมอบหน้าที่ในการท่องจำนำสืบๆ กันต่อไปดังนี้

  1. มอบให้พระอานนท์ท่องจำสั่งสอนทีฆนิกาย
  2. มอบให้นิสิตทั้งหลายของพระสารีบุตร ท่องจำมัชฌิมนิกาย
  3. มอบให้พระมหากัสสปท่องจำสังยุตตนิกาย
  4. มอบให้พระอนุรุทธ์ท่องจำอังคุตตรนิกาย ส่วนขุททกนิกายไม่ได้กล่าวไว้ว่ามอบเป็นหน้าที่ของใคร

สายอภิธัมมปิฎก

  1. พระสารีบุตร
  2. พระภัททชิ
  3. โสภิตะ
  4. พระปิยชาลี
  5. พระปิยปาละ
  6. พระปิยทัสสี
  7. พระโกสิยปุตตะ
  8. พระสิคควะ
  9. พระสันเทหะ
  10. พระโมคคลีบุตร
  11. พระติสสทัตตะ
  12. พระธัมมิยะ
  13. พระทาสกะ
  14. พระโสณกะ
  15. พระเรวตะ

ตามรายนามนี้ สืบต่อมาเพียงชั่ว 235 ปีเท่านั้น ต่อจากนั้นยังมีรายนามอีกมาก ซึ่งนับแต่แผ่ศาสนาไปในลังกาแล้ว

การชำระและจารึกกับการพิมพ์พระไตรปิฎกในประเทศไทย

ได้กล่าวไว้แล้วว่า ควรจะได้กล่าวเป็นพิเศษถึงการชำระการเขียน การพิมพ์พระไตรปิฎกในประเทศไทย ให้ค่อยข้างละเอียดสักเล็กน้อย เพื่อเป็นประโยชน์ในการรู้เรื่องความเกี่ยวของของประเทศไทยที่มีต่อพระไตรปิฎก ซึ่งในที่นี้จะได้แบ่งเป็น 4 สมัยดังนี้

  • สมัยที่ 1 ชำระและจารลงในใบลาน กระทำที่เมืองเชียงใหม่ สมัยพระเจ้าติโลกราช ประมาณ พ.ศ.2020
  • สมัยที่ 2 ชำระและจารลงในใบลาน กระทำที่กรุงเทพฯ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 พ.ศ.2331
  • สมัยที่ 3 ชำระและพิมพ์เป็นเล่ม กระทำที่กรุงเทพฯ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2431 ถึง พ.ศ.2436
  • สมัยที่ 4 ชำระและพิมพ์เป็นเล่ม กระทำที่กรุงเทพฯ สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พ.ศ.2468 ถึง พ.ศ.2473

สมัยที่ 1 พระเจ้าติโลกราช เมืองเชียงใหม่

ความจริงสมัยนั้น เมืองเชียงใหม่เป็นอิสระ และถือได้ว่าภูมิภาคแถบนั้นเป็นประเทศลานนาไทย แต่เมื่อรวมกันเป็นประเทศไทยในภายหลัง ก็ควรจะได้กล่าวถึงการชำระพระไตรปิฎก และการจารลงในใบลาน

พระเจ้าติโลกราชผู้นี้ มีเรื่องกล่าวถึงไว้ในหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์สั้นๆ ว่า สร้างพระพุทธรูปในจุลศักราช 845 ในหนังสือสังคีติยวงศ์เล่าเรื่องสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ตรงกับหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ แต่มีเล่าเรื่องสังคายนาพระไตรปิฎกด้วย พระเจ้าติโลกราช ได้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงพระไตรปิฎกหลายร้อยรูปมีพระธรรมทินเถระ เป็นประธาน ให้ชำระอักษรพระไตรปิฎกในวัดโพธาราม 1 ปี จึงสำเร็จ เมื่อทำการฉลองสมโภชแล้ว ได้ให้สร้างมณเฑียรในวัดโพธาราม เพื่อประดิษฐานพระไตรปิฎก ข้อที่น่าสังเกตก็คือ ตัวอักษรที่ใช้ในการจารึกพระไตรปิฎกในครั้งนั้น คงเป็นอักษรแบบไทยลานนา คล้ายอักษรพม่า มีผิดเพี้ยนกันบ้าง และพอเดาออกเป็นบางตัว

สมัยที่ 2 รัชกาลที่ 1 กรุงเทพฯ

เรื่องสังคายนาพระไตรปิฎกโดยพิสดาร ในสมัยรัชกาลที่ 1 มีปรากฏในหนังสือพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา และคำประกาศเทวดาครั้งสังคายนาปีวอก สัมฤทธิศก พ.ศ.2331 รัชกาลที่ 1 (หนังสือประกาศการพระราชพิธี) ซึ่งเก็บใจความได้ดังนี้

ในปี พ.ศ.2331 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสละพระราชทรัพย์จ้างช่างจาร จารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน และให้ชำระและแปลฉบับอักษรลาว อักษรรามัญ เป็นอักษรขอม สร้างใส่ตู้ไว้ในหอมณเฑียรธรรม และสร้างพระไตรปิฎกถวายพระสงฆ์ไว้ทุกพระอารามหลวง มีผู้กราบทูลว่า ฉบับพระไตรปิฎก และอรรถกถาฎีกาที่มีอยู่ผิดเพี้ยนวิปลาสเป็นอันมาก ผู้ที่รู้พระไตรปิฎกก็มีน้อยท่าน ควรจะได้หาทางชำระให้ถูกต้องจึงทรงอาราธนาพระสังฆราช พระราชาคณะ ฐานานุกรมเปรียญ 100 รูปมาฉัน ตรัสถามว่า พระไตรปิฎกผิดพลาดมากน้อยเพียงไร สมเด็จพระสังฆราชพร้อมด้วยพระราชาคณะถวายพรให้ทราบว่ามีผิดพลาดมากแล้วเล่าประวัติการสังคายนาพระไตรปิฎก

8 ครั้งที่ล่วงมาแล้ว เมื่อทรงทราบดังนั้น จึงอาราธนาให้พระสงฆ์ดำเนินการสังคายนาชำระพระไตรปิฎกซึ่งเลือกพระสงฆ์ 218 รูป ราชบัณฑิตอุบาสก 32 คน (แต่ตามประกาศเทวดาว่า พระสงฆ์ 219 รูป ราชบัณฑิตอุบาสก 30 คน) กระทำ ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ (คือวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ในปัจจุบัน) แบ่งงานออกเป็น 4 กอง สมเด็จพระสังฆราชเป็นแม่กองชำระสุตตันตปิฎก พระวันรัตเป็นแม่กองชำระวินัยปิฎก พระพิมลธรรมเป็นแม่กองชำระอภิธัมมปิฎก พระพุฒาจารย์ เป็นแม่กองชำระสัททาวิเศษ (ตำราไวยากรณ์และอธิบายศัพท์ต่างๆ ) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระอนุชาเสด็จไป ณ พระอารามทุกวันๆ ละ 2 ครั้ง เวลาเช้าทรงประเคนสำรับอาหาร เวลาเย็นทรงถวายน้ำอัฐบาน (น้ำผลไม้คั้น) และเทียนทุกวัน เป็นอย่างนี้สิ้นเวลา 5 เดือนจึงเสร็จ แล้วได้จ้างช่างจารจารึกลงในใบลาน ให้ปิดทองแท่งทับทั้งใบปกหน้าหลัง และกรอบทั้งสิ้น เรียกว่าฉบับทองห่อด้วยผ้ายก เชือกรัดถักด้วยไหม แพรเบญจพรรณ มีฉลากงาแกะเขียนอักษรด้วยหมึก และฉลากทอเป็นตัวอักษรบอกชื่อพระคัมภีร์ทุกคัมภีร์

เมื่อพิจารณาจากการที่พระมหากษัตริย์ทรงอุตสาหะ เสด็จพระราชดำเนินไปให้กำลังใจแก่พระเถระและราชบัณฑิตผู้ชำระพระไตรปิฎก ถึงวันละ 2 เวลา แล้วก็ควรจะถือว่าเป็นพระราชจริยาอันดียิ่ง มีคุณค่าในการถนอมรักษาตำราทางพระพุทธศาสนาไว้ด้วยดี

แต่การสังคายนาครั้งนี้ ผู้ทรงความรู้รุ่นหลัง มักจะพูดล้อว่าเป็นการสังคายนา แต้มหัวตะ เช่นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงไว้ในพระราชวิจารณ์เทียบลัทธิพระพุทธศาสนาฝ่ายหีนยาน (เถรวาท) กับมหายาน หน้า 13 โดยเล็งไปถึงว่าไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากแก้ไขตัวหนังสือที่ผิด คำว่า แต้มหัวตะ หมายความว่า อักษร ค กับอักษร ต เมื่อเขียนด้วยอักษรขอม มีลักษณะใกล้เคียงกัน ถ้าจะให้ชัดเจนเวลาเขียนตัว ต จะต้องขมวดหัว การสอบทาน เห็นตัวไหนไม่ชัดก็เติมขมวดหัวเสียให้ชัด

แต่ข้าพเจ้าเองมิได้เห็นว่า การชำระพระไตรปิฎกในรัชกาลที่ 1 เป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะมิได้ติดใจถ้อยคำที่ว่า สังคายนา จะต้องเป็นเรื่องปราบเสี้ยนหนามทุกครั้งไป การสังคายนาครั้งที่ 1 ก็ไม่ใช่มีเสี้ยนหนามอะไรมาก เพียงภิกษุสูงอายุรูปหนึ่งพูดไม่ดีเท่านั้น ข้อสำคัญอยู่ที่การจัดระเบียบหรือถนอมรักษาพระพุทธวจนะให้ดำรงอยู่ก็พอแล้ว ข้อที่ปรารภของรัชกาลที่ 1 ที่ว่า พระไตรปิฎกมีอักษรผิดพลาดตกหล่นมาก จึงควรชำระให้ดี นี้เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะดำเนินงานได้ เพราะถ้าไม่ได้พระบรมราชูปถัมภ์ งานนี้ก็คงสำเร็จยาก จะเรียกว่า สังคายนาหรือไม่ ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ได้แก้ไขฉบับพระไตรปิฎกให้ดีขึ้นก็เป็นที่พอใจแล้ว เพราะแม้การสังคายนาครั้งที่ 1-2-3 ถ้าจะถือว่ามีการสังคายนาคนเกี่ยวข้องด้วยทุกครั้ง แต่ในที่สุดก็ไม่พ้นสังคายนาพระธรรมวินัย จัดระเบียบพระพุทธวจนะ โดยเฉพาะการสังคายนาครั้งแรกก็เพียงปรารภถ้อยคำของสุภัททภิกษุเท่านั้น มิใช่สังคายนาคนหรือต้องชำระสะสางความผิดของใคร ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงขอบันทึกพระคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ไว้ในที่นี้ด้วยคารวะอย่างยิ่ง

สมัยที่ 3 ในรัชกาลที่ 5 กรุงเทพฯ

หลักฐานเรื่องการพิมพ์พระไตรปิฎก ซึ่งเดิมเขียนเป็นตัวอักษรขอมอยู่ในคัมภีร์ใบลาน ให้เป็นเล่มหนังสือขึ้นนี้ มีในหนังสือชุมนุมกฎหมายในรัชการที่ 5 (หลวงรัตนาญัปติ์เป็นผู้รวบรวม) หน้า 839 ว่าด้วยลักษณะบำรุงพระพุทธศาสนาในหัวข้อว่า การศาสนูปถัมภ์ คือการพิมพ์พระไตรปิฎก ประกาศการสังคายนา และ พระราชดำรัสแก่พระสงฆ์โดยพระองค์ ซึ่งได้พิมพ์ไว้ส่วนหนึ่งในภาคผนวกแล้ว

สาระสำคัญที่ได้กระทำ คือคัดลอกตัวขอมในคัมภีร์ใบลานเป็นตัวไทยแล้วชำระแก้ไข และพิมพ์ขึ้นเป็นหนังสือรวม 39 เล่ม (เดิมกะว่าจะถึง 40 เล่ม) มีการประกาศการสังคายนา แต่เพราะเหตุที่ถือกันว่า การสังคายนา ควรจะต้องมีการชำระสะสางหรือทำลายเสี้ยนหนามพระศาสนา เพียงพิมพ์หนังสือเฉยๆ คนจึงไม่นิยมถือว่าเป็นการสังคายนา แต่ได้กล่าวไว้แล้วว่า จะเรียกสังคายนาหรือไม่ ไม่สำคัญ ขอให้ได้มีการชำระตรวจสอบจารึกหรือจัดพิมพ์พระไตรปิฎกให้เป็นเล่มรักษาไว้เป็นหลักฐาน ก็นับว่าเป็นกิจอันควรสรเสริญอย่างยิ่ง เพราะการทำให้พระพุทธวจนะดำรงอยู่เป็นหลักแห่งการศึกษาและปฏิบัติตลอดไป

มีข้อน่าสังเกตในการจัดพิมพ์พระไตรปิฎก ครั้งแรกในประเทศไทย ครั้งนี้ที่ขอเสนอไว้เป็นข้อๆ คือ

  1. การชำระ และจัดพิมพ์พระไตรปิฎกครั้งนี้เริ่มแต่ พ.ศ.2431 สำเร็จเมื่อ พ.ศ.2436 จำนวน 1,000 ชุด นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่ได้มีการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มด้วยอักษรไทย เป็นการฉลองการที่พระบาทสมเด็จพระจุลลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสวยราชสมบัติครบ 25 ปี
  2. เป็นการสละพระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (เทียบกับการพิมพ์พระไตรปิฎกในรัชกาลที่ 7 ซึ่งเป็นการสละพระราชทรัพย์ และทรัพย์ร่วมกันของพระมหากษัตริย์กับประชาชน)
  3. ในการพิมพ์ครั้งแรกนี้ พิมพ์ได้ 39 เล่มชุด ยังขาดหายไปมิได้พิมพ์อีก 6 เล่ม และได้พิมพ์เพิ่มเติมในรัชกาลที่ 7 จนครบ ฉบับพิมพ์ในรัชกาลที่ 7 รวม 45 เล่ม จึงนับว่าสมบูรณ์ เป็นการช่วยเพิ่มเติมเล่มที่ขาดหายไปคือ (1)เล่ม26 วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา (2) เล่ม 27 ชาดก (3) เล่ม 28 ชาดก (4) เล่ม32 อปาทาน (5) เล่ม33 อปาทาน พุทธวงศ์ จริยาปิฎก (6) เล่ม 41 อนุโลมติกปัฏฐานภาค 2 และ (7)ปัจจนียปัฏฐาน อนุโลมปัจจนียปัฏฐาน นอกจากนั้นยังได้เพิ่มเติมท้ายเล่ม 44 ที่ขาดหายไป ครึ่งหนึ่งคือ อนุโลมติกติกปัฏฐานและอนุโลมทุกทุกปัฏฐานให้สมบูรณ์ด้วย ตามจำนวนดังกล่าวนี้ เมื่อคิดเป็นเล่มจึงมีหนังสือขาดหายไป ต้องพิมพ์เพิ่มเติมใหม่ถึง 7 เล่ม แต่เพราะเหตุที่ฉบับพิมพ์ในครั้งรัชกาลที่ 5 แยกคัมภีร์ยมกแห่งอภิธัมมปิฎกออกเป็น 3 เล่ม ส่วนในการพิมพ์ครั้งหลังรวมเป็นเพียง 2 เล่ม จำนวนเล่มที่ขาดหายจึงเป็นเพียง 6 เล่มคือฉบับพิมพ์ในรัชกาลที่ 5 มี 39 เล่ม ฉบับพิมพ์ในรัชกาลที่ 7 มี 45 เล่ม ด้วยประการฉะนี้

อย่างไรก็ดี การพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นหนังสือนี้ แม้ในขั้นแรกจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าทางพระพุทธศาสนาสะดวกยิ่งขึ้น เป็นการวางรากฐานอย่างสำคัญแห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นพระกรณียกิจอันควรสรรเสริญยิ่งแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

สมัยที่ 4 รัชกาลที่ 7 กรุงเทพฯ

หลักฐานเรื่องนี้ ในหนังสือรายงานการสร้างพระไตรปิฎกสยามรัฐ ซึ่งพิมพ์ขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แสดงรายละเอียดการจัดพิมพ์พระไตรปิฎก ระหว่าง พ.ศ.2468 ถึง พ.ศ.2473

มีข้อที่พึงกล่าวเกี่ยวกับการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกครั้งนี้คือ

  1. ได้ใช้เครื่องหมายและอักขรวิธีตามแบบ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งทรงคิดขึ้นใหม่ แม้การจัดพิมพ์จะกระทำในสมัยที่พระองค์ท่านสิ้นพระชนม์แล้ว
  2. พิมพ์ 1,500 จบ พระราชทานในพระราชอาณาจักร 200 จบ พระราชทานในนานาประเทศ 450 จบ เหลืออีก 850 จบ พระราชทานแก่ผู้บริจาคทรัพย์ของรับหนังสือพระไตรปิฎก
  3. การพิมพ์พระไตรปิฎกในครั้งนี้ นับว่าได้เพิ่มเติมส่วนที่ยังขาดอยู่ให้สมบูรณ์ โดยใช้ฉบับลานของหลวง (เข้าใจว่าฉบับนี้เนื่องมาจากรัชกาลที่ 1) คัดลิดแล้วพิมพ์เพิ่มเติมจากส่วนที่ยังขาดอยู่
  4. ผลของการที่ส่งพระไตรปิฎกไปต่างประเทศ ทำให้มีผู้พยายามอ่านอักษรไทย เพื่อสามารถอ่านพระไตรปิฎกฉบับไทยได้ และได้มีผู้บันทึกสดุดีไว้ เช่น พระนยานติโลกเถระ ชาวเยอรมัน ผู้อุปสมบทประจำอยู่ ณ ประเทศลังกา ได้ชมเชยไว้ในหนังสือ Guide through the abhidhammapitaka ว่า ฉบับพระไตรปิฎกของไทยสมบูรณ์กว่าฉบับพิมพ์ด้วยอักษรโรมันของสมาคมบาลีปกรณ์ในอังกฤษเป็นอันมาก
  5. ในการพิมพ์ครั้งนี้ ได้ทำอนุกรมต่างๆ ไว้ท้ายเล่มเพื่อสะดวกในการค้น แม้จะไม่สมบูรณ์ แต่ก็มีประโยชน์มาก และเป็นแนวทางให้ชำระเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ต่อไป

เป็นอันว่า ท่านผู้อ่านได้ทราบความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกตั้งแต่ต้นจนถึงพิมพ์เป็นเล่มแล้ว ต่อไปจะได้กล่าวถึงวิธีจัดระเบียบและการจัดประเภทในแต่ละปิฎกเพื่อสะดวกในการกำหนดจดจำ ซึ่งได้มีการริเริ่มมาแต่การสังคายนาครั้งที่ 1 และได้เพิ่มเติมในการจัดระเบียบในสมัยต่อๆ มา

ลักษณะการจัดหมวดหมู่ของแต่ละปิฎก

ได้กล่าวแล้วว่า พระไตรปิฎกนั้นแบ่งออกเป็นวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธรรมปิฎก โดยลำดับพระโบราณาจารย์ฝ่ายไทยได้ใช้วิธีย่อหัวข้อสำคัญในแต่ละปิฎก เพื่อจำง่ายเป็นอักษรย่อในการใช้อักษรย่อนั้น วินัยปิฎกมี 5 คำ สุตตันตปิฎกมี 5 คำ อภิธรรมมี 7 คำ ตังต่อไปนี้

วินัยปิฎก

อักษรย่อในปิฎกอื่นๆ ไม่มีปัญหา คงมีปัญหาเฉพาะวินัยปิฏก คือ อา, ปา, ม, จุ, ป, อา = อาทิกัมม์ (การกระทำที่เป็นต้นบัญญัติ) หมายเฉพาะรายการพระวินัย ตั้งแต่อาบัติปาราชิกลงมาถึงสังฆาทิเสส, ปา = ปาจิตตีย์ เป็นชื่อของอาบัติในปาฏิโมกข์ เฉพาะตั้งแต่ถัดจากสังฆาทิเสสลงมา ทั้งสองหัวข้อนี้เป็นการย่ออย่างจับความมากกว่าย่อตามชื่อหมวดหมู่ จึงไม่ตรงกับชื่อที่ใช้เป็นทางการในวินัยปิฎก ส่วนอีก 3 ข้อท้าย ตรงตามชื่อหมวดหมู่ ฉะนั้น ถ้าจัดตามชื่อ จึงควรเป็นดังนี้

  1. มหาวิภังค์ หรือ ภิกขุวิภังค์ ว่าด้วยศีลของภิกษุที่มาในปาฏิโมกข์ (คำว่า ปาฏิโมกข์ คือศีลที่เป็นใหญ่สำคัญอันจะต้องสวดทบทวนในที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือน)
  2. ภิกขุนีวิภังค์ ว่าด้วยศีลของนางภิกษุณี
  3. ม = มหาวัคค์ แปลว่า วรรคใหญ่ แบ่งออกเป็นขันธกะ คือหมวดต่างๆ 10 หมวด
  4. จุ = จุลลวัคค์ แปลว่า วรรคเล็ก แบ่งออกเป็นขันธกะ คือหมวดต่างๆ 12 หมวด
  5. ป = ปริวาร หมายถึงหัวข้อเบ็ดเตล็ดต่างๆ เป็นการย่อหัวข้อสรุปเนื้อความ วินิจฉัยปัญหาใน 4 เรื่องข้างต้น

แต่ตามความเข้าใจของชาวอังกฤษ ที่ตั้งสมาคมบาลีปกรณ์ขึ้นพิมพ์พระไตรปิฎกในประเทศอังกฤษ เขาแบ่งวินัยปิฎกออกเป็น 3 ส่วนคือ

  1. สุตตวิภังค์หมายรวมทั้งศีลของภิกษุและภิกษุณี
  2. ขันธกะหมายรวมทั้งมหาวัคค์และจุลลวัคค์
  3. ปริวารคือหัวข้อเบ็ดเตล็ด

ปัญหาเหล่านี้ ไม่ได้ทำให้เกิดการผิดพลาดหรือบกพร่องในวินัยปิฎกแต่ละประการใด ต้นฉบับก็ตรงกัน เป็นแต่การเรียกชื่อหัวข้อ หรือวิธีแบ่งหัวข้อต่างกันออกไปเท่านั้น

ในหนังสืออรรถกถาวินัย (สมันตปาสาทิกาภาค1 หน้า 17) พระอรรถกถาจารย์จัดหัวข้อย่อวินัยปิฎกไว้ว่า ชื่อว่าวินัยปิฎก คือ “ปาฏิโมกข์ 2 (ภิกขุปาฏิโมกข์ ภิกขุนีปาฏิโมกข์) วิภังค์ 2 (มหาวิภังค์ หรือภิกขุวิภังค์กับภิกขุนีวิภังค์) ขันธกะ 22 (รวมทั้งในมหาวัคค์และจุลลวัคค์) และปริวาร 16” เรื่องเหล่านี้คงเป็นปัญหาในการเรียกชื่อหมวดหมู่ตามเคย ถ้ารู้ความหมายแล้วจะท่องจำหัวข้อย่อๆ แบบไทยๆ ว่า อา, ปา, ม, จุ, ป ก็คงได้ประโยชน์เช่นกัน อนึ่ง ท่านผู้อ่านจะได้เข้าใจยิ่งขึ้นเมื่ออ่านถึงภาค 3 อันว่าด้วยความย่อแห่งพระไตรปิฎก เพราะจะได้เห็นหัวข้อที่แบ่งออกไปเป็นหมวดหมู่รองๆ ลงไปจากหมวดใหญ่อย่างชัดเจน

สุตตันตปิฎก

หัวข้อย่อแห่งสุตตันตปิฎกมี 5 คำคือ ที, ม, สัง, อัง, ขุ ต่อไปนี้

  1. ที = ทีฆนิกาย แปลว่าหมวดยาวหมายถึงหมวดที่รวบรวมพระสูตรขนาดยาวไว้ส่วนหนึ่ง ไม่ปนกับพระสูตรประเภทอื่น ในหมวดนี้มีพระสูตรรวมทั้งสิ้น 34 สูตร
  2. ม = มัชฌิมนิกาย แปลว่าหมวดปานกลาง หมายถึงหมวดที่รวบรวมพระสูตรขนาดกลาง ไม่สั้นเกินไป ไม่ยาวเกินไปไว้ส่วนหนึ่ง ในหมวดนี้มีพระสูตรรวมทั้งสิ้น 152 สูตร
  3. สัง = สังยุตตนิกาย แปลว่า หมวดประมวล คือประมวลเรื่องประเภทเดียวกันไว้เป็นหมวดหมู่ เช่น เรื่องพระมหากัสสปะ เรียกกัสสปสังยุต เรื่องอินทรีย์ (ธรรมะที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน) เรียก อินทริยสังยุต เรื่องมรรค (ข้อปฏิบัติ) เรียก มัคคสังยุต ในหมวดนี้มีพระสูตรรวมทั้งสิ้น 7,762 สูตร
  4. อัง = อังคุตตรนิกาย แปลว่า หมวดยิ่งด้วยองค์ คือจัดลำดับธรรมะไว้เป็นหมวดๆ ตามลำดับตัวเลข เช่น หมวดธรรมะข้อเดียว เรียกว่า เอกนิบาต หมวดธรรมะ 2 ข้อ เรียกทุกนิบาต หมวดธรรมะ 3 ข้อ เรียกติกนิบาต ดังนี้เป็นต้น จนถึงหมวดธรรมะ 10 ข้อ เรียกทสกนิบาต หมวดธรรมะเกิน 10 ข้อ เรียกอติเรกทสกนิบาต ในหมวดนี้มีพระสูตรรวมทั้งสิ้น 9,557 สูตร
  5. ขุ = ขุททกนิกาย แปลว่าหมวดเล็กน้อย รวบรวมข้อธรรมที่ไม่จัดเข้าใน 4 หมวดข้างต้นมารวมไว้ในหมวดนี้ทั้งหมด เมื่อจะแบ่งโดยหัวข้อใหญ่ก็มี 15 เรื่องคือ
    1. ขุททกปาฐะแปลว่าบทสวดเล็กๆ น้อยๆ โดยมากเป็นบทสวดสั้นๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
    2. ธรรมบทแปลว่าบทแห่งธรรม คือธรรมภาษิตสั้นๆ ประมาณ 300 หัวข้อ (ส่วนเรื่องพิสดาร มีท้องเรื่องประกอบปรากฏในอรรถกถา)
    3. อุทานแปลว่าคำที่เปล่งออกมา หมายถึงคำอุทานที่เป็นธรรมภาษิต มีท้องเรื่องประกอบเป็นเหตุปรารภในการเปล่งอุทานของพระพุทธเจ้า
    4. อิติวุตตกะแปลว่า “ข้อความที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้” เป็นการอ้างอิงว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสข้อความอย่างนี้ ไม่มีเรื่องประกอบ มีแต่ที่ขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้ยินมาว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสอย่างนี้
    5. สุตตนิบาตแปลว่า รวมพระสูตร คือรวบรวมพระสูตรเบ็ดเตล็ดต่างๆ ไว้ด้วยกัน มีชื่อสูตร บอกกำกับไว้
    6. วิมานวัตถุแปลว่าเรื่องของผู้ได้วิมาน แสดงเหตุดีที่ให้ได้ผลดีตามคำบอกเล่าของผู้ได้ผลดีนั้นๆ
    7. เปตวัตถุแปลว่า เรื่องของเปรตหรือผู้ล่วงลับไป ที่ทำกรรมชั่วไว้
    8. เถรคาถาภาษิตต่างๆ ของพระเถระผู้เป็นพระอรหันต์สาวก
    9. เถรีคาถาภาษิตต่างๆ ของพระเถรีผู้เป็นพระอรหันต์สาวิกา
    10. ชาดกแสดงภาษิตต่างๆ ที่เกี่ยวโยงกับคำสอนประเภทเล่านิทาน (ท้องเรื่องพิสดารมีในอรรถกถาเช่นเดียวกับธรรมบท)
    11. นิทเทสแบ่งออกเป็นมหานิทเทสกับจูฬนิทเทส คือมหานิทเทสเป็นคำอธิบายพระพุทธภาษิตในสุตนิบาต (หมายเลข 5) ว่าด้วยปัญหาของมาณพ16 คนกับขัคควิสาณสูตร กล่าวกันว่าภาษิตของพระสารีบุตรเถระเจ้า
    12. ปฏิสัมภิทามัคค์แปลว่าทางแห่งปัญญาอันแตกฉานเป็นคำอธิบายหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ซึ่งกล่าวกันว่าพระสารีบุตรเถระเจ้าได้กล่าวไว้
    13. อปทานแปลว่าคำอ้างอิง เป็นประวัติส่วนตัวที่แต่ละท่านเล่าไว้ ซึ่งอาจแบ่งได้ คือเป็นอดีตประวัติของพระพุทธเจ้า ของพระเถระอรหันตสาวก ของพระเถรีอรหันตสาวิกา ส่วนที่เป็นประวัติการทำความดีของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น มีคำอธิบายว่า เป็นพระพุทธภาษิตตรัสเล่าให้พระอานนท์ฟัง
    14. พุทธวังสะ แปลว่าวงศ์ของพระพุทธเจ้า หลักการใหญ่เป็นการแสดงประวัติของพระพุทธเจ้า ในอดีต 24 องค์ รวมทั้งของพระโคตมพุทธเจ้าด้วย จึงเป็น 25 องค์นอกจากนั้นมีเรื่องเบ็ดเตล็ดแทรกเล็กน้อย
    15. จริยาปิฎก แปลว่า คัมภีร์แสดงจริยา คือการบำเพ็ญบารมีต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งแบ่งหลักใหญ่ออกเป็นทาน (การให้) ศีล (การรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย) และเนกขัมมะ (การออกบวช)

ข้อสังเกตท้ายสุตตันตปิฎก

พระสุตตันตปิฎกซึ่งแบ่งออกเป็น 5 นิกายดังกล่าวมาแล้ว คือทีฆนิกายจนถึงขุททกนิกายนั้น บางครั้งพระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า 5 นิกายนี้แหละ จะเรียกว่าประมวลได้ครบทั้งสามปิฎกก็ได้ คือถือว่านอกจากพระพุทธวจนะที่อยู่ใน 4 นิกายข้างต้นแล้ว พระพุทธวจนะที่เหลือจัดเข้าในขุททกนิกาย คือหมวดเบ็ดเตล็ดทั้งหมด คือทั้งวินัยปิฎกและอภิธรรมปิฎก จัดเข้าในขุททกนิกายทั้งสิ้น คำว่า นิกาย นี้ ในที่บางแห่งใช้คำว่า อาคม แทนพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทที่ปรากฏแปลในฉบับจีน ชาวจีนใช้คำว่า อาคม หมายรวมแทนพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาท

อภิธัมมปิฎก

หัวข้อย่อแห่งอภิธัมมปิฎก มี 7 คำ คือ สัง, วิ, ธา, ปุ, ก, ย, ป ดังต่อไปนี้

  1. สัง = สังคณีว่าด้วยการรวมหมู่ธรรมะ คือธรรมะแม้จะมีมากเท่าไรก็อาจรวมหรือจัดเป็นประเภทๆ ได้เพียงไม่เกิน 3 อย่าง
  2. วิ = วิภังค์ ว่าด้วยการแยกธรรมะออกเป็นข้อๆ เช่นเป็นขันธ์ 5 เป็นต้น ทั้งสังคณีและวิภังค์นี้ เทียบด้วยคำว่า สังเคราะห์ (Synthesis) และวิเคราะห์ (Analysis) ในวิทยาศาสตร์ เป็นแต่เนื้อหาในทางศาสนากับทางวิทยาศาสตร์ มุ่งไปคนละทาง คงลงกันได้ในหลักการว่า ควรเรียนรู้ทั้งในทางรวมกลุ่มและแยกกลุ่ม เช่น รถคันหนึ่งควรรู้ทั้งการประกอบเข้าเป็นคันรถ และการแยกส่วนต่างๆ ออกฉะนั้น
  3. ธา = ธาตุกถา ว่าด้วยธาตุ คือธรรมะทุกอย่าง อาจจัดเป็นประเภทได้โดย ธาตุ อย่างไร
  4. ปุ = ปุคคลบัญญัติ ว่าด้วยบัญญัติ 6 ประการ เช่น บัญญัติขันธ์ บัญญัติอายตนะ จนถึงบัญญัติเรื่องบุคคล พร้อมทั้งแจกรายละเอียดเรื่องบัญญัติบุคคลต่างออกไป
  5. ก = กถาวัตถุ ว่าด้วยคำถาม คำตอบ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา (พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า เป็นคำถาม 500 คำตอบ 500 แต่ตัวเลข 500 นี้อาจหมายเพียงว่าหลายร้อย เพราะว่าเท่าที่นับกันดูแล้ว ได้คำถามคำตอบ อย่างละ 219 ข้อ)
  6. ย = ยมก ว่าด้วยธรรมเป็นคู่ๆ บางทีการจัดคู่ก็มีลักษณะเป็นตรรกวิทยา ซึ่งจะได้กล่าวถึงในภาค 3 ย่อความแห่งพระไตรปิฎก
  7. = ปัฏฐาน ว่าด้วยปัจจัย คือสิ่งสนับสนุน 24 ประการ

เป็นอันว่า หัวในย่อแห่งพระไตรปิฎก คือ อา ปา ม จุ ป, ที ม สัง อัง ขุ, สัง วิ ธา ปุ ก ย ป มีรายละเอียดดังกล่าวมาแล้วนี้

ลำดับชั้นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา

แม้ว่าพระไตรปิฎก จะนับว่าเป็นคัมภีร์สำคัญ และเป็นหลักฐานทางพระพุทธศาสนา แต่ก็มีคัมภีร์อื่นอีกที่เกี่ยวข้องด้วย จึงควรทราบลำดับชั้นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไว้ดังต่อไปนี้

  1. พระไตรปิฎกเป็นหลักฐานขั้น 1 เรียกว่า บาลี
  2. คำอธิบายพระไตรปิฎกเป็นหลักฐานขั้น 2 เรียกว่า อรรถกถา หรือ วัณณนา
  3. คำอธิบายอรรถกถาเป็นหลักฐานชั้น 3 เรียกว่า ฎีกา
  4. คำอธิบายฎีกาเป็นหลักฐานชั้น 4 เรียกว่า อนุฎีกา

นอกจากนี้ ยังมีคัมภีร์ที่แต่งขึ้น ว่าด้วยไวยากรณ์ภาษาบาลีฉบับต่างๆ และอธิบายศัพท์ต่างๆ เรียกรวมกันว่า สัททาวิเสส เป็นสำนวนที่เรียกกันในวงการนักศึกษาฝ่ายไทย ปรากฏในพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า เมื่อทำสังคายนา ในรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2331 เพื่อชำระพระไตรปิฎกนั้น ได้มีการชำระคัมภีร์สัททาวิเสสต่างๆ ด้วย โดยมีพระพุฒาจารย์เป็นแม่กอง

การจัดชั้นของบาลีอรรถกถา ก็เนื่องด้วยกาลเวลานั้นเอง พระไตรปิฎกเป็นของมีมาก่อน ก็จัดเป็นหลักฐานชั้นที่ 1 คำอธิบายพระไตรปิฎกแต่งขั้นประมาณ 956 ปี ภายหลังพุทธปรินิพพาน จึงจัดเป็นชั้นที่ 2 ส่วนฎีกานั้น แต่งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.1587 จึงนับเป็นหลักฐานชั้นที่ 3 อนึ่งคัมภีร์อนุฎีกานั้นแต่งขึ้นภายหลังในยุคต่อๆ มา เป็นคำอธิบายฎีกาอีกต่อหนึ่ง จึงนับเป็นหลักฐานชั้นที่ 4

อย่างไรก็ตาม แม้พระไตรปิฎกจะเป็นหลักฐานชั้น 1 เมื่อพิจารณาตามหลักพระพุทธภาษิตในกาลามสูตร ท่านก็ไม่ให้ติดจนเกินไป ดังคำว่า มา ปิฏกสมฺปทาเนน อย่าถือโดยอ้างตำรา เพราะอาจมีผิดพลาดตกหล่น หรือบางตอนอาจเพิ่มเติมขึ้น แสดงว่าพระพุทธศาสนาสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาเหตุผล สอบสวนดูให้เห็นประจักษ์แก่ใจของตนเอง เป็นการสอนอย่างมีน้ำใจกว้างขวาง และให้เสรีภาพแก่ผู้นับถือพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังเป็นการยืนยันให้นำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อได้ประจักษ์ผลนั้นๆ ด้วยตนเอง แม้จะมีพระพุทธภาษิตเตือนไว้มิให้ติดตำราจนเกินไป แต่ก็จำเป็นต้องรักษาตำราไว้ เพื่อเป็นแนวทางแห่งการศึกษา เพราะถ้าไม่มีตำราเลยจะยิ่งซ้ำร้าย เพราะจะไม่มีแนวทางให้รู้จักพระพุทธศาสนาเลย ฉะนั้น การศึกษาให้รู้และเข้าใจในพระไตรปิฎก จึงเป็นลำดับแรก เรียกว่า ปริยัติ การลงมือกระทำตามโดยควรแก่จริตอัธยาศัย เรียกว่า ปฏิบัติ การได้รับผลแห่งการปฏิบัตินั้นๆ เรียกว่า ปฏิเวธ

คำอธิบายพระไตรปิฎกอย่างย่อๆ ของพระอรรถกถาจารย์

ท่านผู้อ่านได้ทราบแล้วว่า คำอธิบายพระไตรปิฎก เรียกว่า อรรถกถา จึงควรทราบต่อไปว่า ท่านผู้แต่งตำราอรรถกถานั้นเรียกว่า พระอรรถกถาจารย์ เฉพาะคำว่า พระไตรปิฎก นี้มีคำอธิบาย ย่อๆ ของพระอรรถกถาจารย์ไว้ ดังจะนำมากล่าวต่อไป

1.

  1. วินัยปิฎก เป็นอาณาเทศนา คือการแสดงธรรมในลักษณะตั้งเป็นข้อบังคับโดยส่วน ใหญ่
  2. สุตตันตปิฎก เป็นโวหารเทศนา คือการแสดงธรรมยักย้ายสำนวนให้เหมาะแก่จริตอัธยาศัยของผู้ฟัง
  3. อภิธัมมปิฎก เป็นปรมัตถเทศนา คือการแสดงธรรมเจาะจงเฉพาะประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งเป็นธรรมะชั้นสูงไม่เกี่ยวด้วยท้องเรื่องหรือโวหาร

2.

  1. วินัยปิฎก เป็นยถาปราธสาสนะ คือคำสอนตามความผิด หรือโทษชนิดต่างๆ ที่พึงเว้น
  2. สุตตันตปิฎก เป็นยถานุโลมสาสนะ คือการสอนโดยอนุโลมแก่จริตอัธยาศัยของผู้ฟัง ซึ่งมีต่างๆ กัน
  3. อภิธัมมปิฎก เป็นยถาธัมมสาสนะ คือการสอนตามเนื้อหาแท้ๆ ของธรรมะ

3.

  1. วินัยปิฎก เป็นสังวราสังวรกถา คือถ้อยคำที่ว่าด้วยความสำรวมและไม่สำรวม
  2. สุตตันตปิฎก เป็นทิฏฐิวินิเวฐนกถา คือถ้อยคำที่สอนให้ผ่อนคลาย ทิฏฐิ คือความเห็นผิด
  3. อภิธัมมปิฎก เป็นนามรูปปริจเฉทกถา คือถ้อยคำที่สอนให้กำหนดนามแลรูป คือร่างกายจิตใจ

4.

  1. วินัยปิฎก เป็นอธิสีลสิกขา คือข้อศึกษาเกี่ยวกับอธิศีล คือศีลชั้นสูง
  2. สุตตันตปิฎก เป็นอธิจิตตสิกขา คือข้อศึกษาเกี่ยวกับสมาธิชั้นสูง
  3. อภิธัมมปิฎก เป็นอธิปัญญาสิกขา คือข้อศึกษาเกี่ยวกับปัญญาชั้นสูง

5.

  1. วินัยปิฎก เป็นวีติกกมปหาน คือเครื่องละกิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นเหตุให้ล่วงละเมิดศีล
  2. สุตตันตปิฎก เป็นปริยุฏฐานปหาน คือเครื่องละกิเลสอย่างกลางอันรึงรัดจิต ได้แก่นิวรณ์คือกิเลสอันกั้นจิตมิให้เป็นสมาธิ
  3. อภิธัมมปิฎก เป็นอนุสยปหาน คือเครื่องละกิเลสอย่างละเอียด อันได้แก่ที่นอนอยู่ในสันดาน เหมือนตะกอนนอนก้นตุ่ม ไม่มีอะไรมากวนก็ไม่แสดงตัวออกมา นอกจากนั้นยังได้อธิบายโดยใช้ศัพท์ ปหาน ในรูปอื่นอีก ซึ่งเห็นว่าเท่าที่นำมากล่าวก็พอแล้ว จึงไม่นำมากล่าวทั้งหมด

ข้าพเจ้าได้นำคำอธิบายย่อๆ ของพระอรรถกถาจารย์มากล่าวไว้ในที่นี้ เพื่อเป็นแนวพิจารณา

ของท่านผู้อ่าน ต่อไปนี้ขอท่านได้โปรดอ่านเอกสารทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการชำระ, การจารึกและการพิมพ์พระไตรปิฎกในประเทศไทย กับทั้งข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก และความย่อแห่งพระไตรปิฎก อันปรากฏในภาค 2 ภาค 3 และภาค 4 โดยลำดับ

บรรณานุกรม

  • สุชีพ ปุญญานุภาพ. พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน.พิมพ์ครั้งที่ 17. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์, 2550.

ความคิดเห็น

Restricted HTML

  • Allowed HTML tags: <a href hreflang> <em> <strong> <cite> <blockquote cite> <code> <ul type> <ol start type> <li> <dl> <dt> <dd> <h2 id> <h3 id> <h4 id> <h5 id> <h6 id>
  • Lines and paragraphs break automatically.
  • Web page addresses and email addresses turn into links automatically.